Advertising

..

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Coin 101 : Decred Coin หรือ DCR

Decred Coin หรือ DCR  คืออะไร?

Decred เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนที่ออกแบบมาเพื่อมอบทางเลือกที่กระจายอำนาจอย่างแท้จริงยุติธรรมและอธิปไตยให้กับเงินแบบดั้งเดิม

ในระบบปัจจุบันอำนาจรวมศูนย์เช่นธนาคารหรือรัฐบาลกุมอำนาจ ด้วย Decred สมาชิกในชุมชนเป็นเจ้าของและดำเนินการระบบกำหนดกฎเกณฑ์และกำหนดทิศทางของโครงการ

ต้นกำเนิด Decred Coin ?

ย้อนกลับไปได้ในปี 2013 เมื่อผู้ใช้ Bitcointalk ที่ไม่ระบุชื่อชื่อ 'tacotime' เริ่มต้นกระทู้และเผยแพร่เอกสาร White Paper สำหรับ Memcoin2 (MC2) Tacotime จึงได้ร่วมพัฒนาแนวคิดกับ '_ingsoc' 

ต้นปี  _ingsoc ได้เดินเข้าไปหา Jake Yocom-Piatt  CEO ของ Company Zero (บริษัทที่เชี่ยวชาญการพัฒนาโปรแกรมแบบ OpenSource) ด้วยแนวคิด MC2 ของ tacotime ในเวลานั้น Company Zero มุ่งเน้นไปที่การพัฒนา btcsuite เป็นหลักซึ่งเป็นทางเลือกในการใช้งาน Bitcoin แบบเต็มโหนดที่เขียนใน Go ของพวกเขาได้รับการยกย่องอย่างสูงในชุมชน crypto และถูกใช้โดยโครงการชั้นนำมากมาย เช่น Ethereum, BitGo, Factom, OpenBazaar และทีม Lightning Network

ในที่สุดทั้งสองทีมก็ร่วมมือกันพัฒนา Decred


ทำไม Decred จึงถูกสร้างขึ้น?

Decred ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกให้กับ Bitcoin ในปี 2015 Company Zero ได้เผยแพร่โพสต์ที่อธิบายถึงความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Bitcoin : การกำกับดูแลการระดมทุนสำหรับนักพัฒนาและนักขุด PoW ที่มีอำนาจมากเกินไป

Decred ให้อำนาจแก่ผู้ที่ถือสกุลเงินมากขึ้น

Decred เป็นส้อมของ Bitcoin หรือไม่?

ไม่ Decred เป็นสกุลเงินแยกต่างหากที่สร้างขึ้นโดยอดีตนักพัฒนา Bitcoin ซึ่งประสบปัญหาเกี่ยวกับวิธีการควบคุม Bitcoin พวกเขามองว่า  อะไรคือสิ่งที่ประสบความสำเร็จกับ Bitcoin และสิ่งที่พวกเขาสามารถเพิ่มได้ด้วยการผสานรวมการกำกับดูแลที่เป็นทางการตั้งแต่เริ่มต้น เป้าหมายคือการสร้างโครงสร้างโดยทุกคนในชุมชนที่มีสกินในเกมสามารถเป็นเจ้าของและดำเนินการระบบสร้างกฎและกำหนดทิศทางของโครงการ

Decred เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559

Decred ทำงานอย่างไร?

พื้นฐานมันคือระบบ Hybrid ระหว่าง PoW กับ PoS ทำให้ระบบความปลอดภัยของมันสูงกว่า คำอธิบายคือ เมื่อ  PoW มีอำนาจมากเกินไป PoS จะมีสิทธิยับยั้งได้  มันมีระบบล็อก 2 ชั้น

Decred แตกต่างจาก Bitcoin ใน 3 วิธีหลัก ๆ :

ความปลอดภัย : Decred ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีต้นทุนการโจมตี PoW ที่สูงกว่า เนื่องจากรูปแบบ PoW + PoS แบบไฮบริดที่สอดคล้องกับแรงจูงใจระหว่างคนงานเหมืองและผู้ Stake สิ่งนี้ทำให้มั่นใจได้ถึงเสถียรภาพในระยะยาว

การปรับตัวได้ : Decred มีการกำกับดูแลที่เป็นทางการในตัวซึ่งช่วยให้สามารถเปลี่ยนแปลงกฎที่เป็นเอกฉันท์ในขณะที่หลีกเลี่ยงการส้อมแข็ง

ความยั่งยืน : Decred ได้รับการสนับสนุนจากรางวัลบล็อก เฉพาะผู้ Stake ที่มีสกินจริงในเกมเท่านั้นที่สามารถลงคะแนนอนุมัติการใช้จ่ายจากคลังซึ่งจะทำให้โครงการมีความยั่งยืนในระยะยาว

นอกเหนือจากผลประโยชน์การเก็งกำไร (คล้ายกับผู้ถือ BTC หรือ LTC) ผู้ถือ DCR สามารถตัดสินใจเข้าร่วมในระบบ PoS ได้ เช่นเดียวกับผู้ทำเหมือง PoW ได้รับรางวัลเพื่อรักษาความปลอดภัยเครือข่าย (60% ของรางวัลบล็อก) ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง PoS จะได้รับแรงจูงใจให้ควบคุมเครือข่าย Decred (30% ของรางวัลบล็อก)

การเดิมพันสามารถให้ROI ที่เหมาะสมและช่วยให้นักลงทุนระยะยาวมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการเปลี่ยนแปลงกฎฉันทามติและอนุมัติการใช้จ่ายจากคลัง (ได้รับทุนจากรางวัลบล็อกที่เหลืออีก 10%)


โอกาสพิเศษเกิดขึ้นเมื่อคุณมอบคุณค่าให้กับระบบนิเวศที่ Decred เนื่องจาก Decred Treasury อาจจ่ายค่าบริการของคุณได้

ทำไมฉันถึงไม่ได้ยิน Decred มากกว่านี้

Decred ถูกสร้างขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในช่วง 3.5 ปีที่ผ่านมา สิ่งนี้ทำให้ชุมชนให้ความสำคัญกับการสร้างการจัดเก็บคุณค่าในระยะยาวที่เหนือกว่าซึ่งจะยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง - การตลาดไม่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมได้

แผนงานมีอะไรบ้าง?

วิสัยทัศน์ของ Decred คือการสร้างอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองและกระจายอำนาจซึ่งปกครองโดยหน่วยข่าวกรองร่วมของชุมชน ผ่านแพลตฟอร์มข้อเสนอผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดสามารถยื่นข้อเสนอเพื่อเปลี่ยนทิศทางในอนาคตได้


Decred เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีความซับซ้อนสูงซึ่งต้องมีการศึกษาก่อนจึงจะเข้าใจได้ทั้งหมด 


วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Coin 101 : DogeCoin

 DogeCoin (อ่านว่า โดชคอยน์)

เงินสกุลคริปโตเคอรเรนซี่ ที่ใช้สัญลักษณ์ รูปสุนัขสายพันธ์ชิบะ อินุ ถูกสร้างขึ้นโดยโปรแกรมเมอร์ 2 คนคือ Billy Markus และ Jackson Palmer  โดยเป็นการ Folk ออกมาจาก LiteCoin  ซึ่งถูกดัดแปลงให้มีลักษณะที่ตรงข้ามกับ Bitcoin อย่างสิ้นเชิง เพื่อความสนุกขบขัน

คุณสมบัติ
1. มีเหรียญไม่จำกัดจำนวน
2. ครั้งแรกเริ่มต้นด้วยเหรียญจำนวน 50000 ล้านเหรียญ Doge
3. ระยะเวลาในการสร้าง Block คือ ทุก 1 นาที
4. ใน 1 บล็อกที่ถูกสร้างจะมีการสร้างเหรียญออกมา 10,000 เหรียญ (1 ปีจะมีเหรียญออกมา 5.256 ล้านเหรียญ ต่อปี ) แต่ตอนนี้ ถูก Halving เหลือเพียง  6.25 เหรียญต่อ 1 บล็อกเท่านั้น และจะ Havling ทุกประมาณ 4 ปี

โดยในตอนแรกที่สร้างนั้น คือปี 2013  เหรียญทั้งหมดมีมูลค่าแค่เพียง รถยนต์ 1 คันเท่านั้น  แต่แล้วในปี 2015 Bill Markus ก็เทขายเหรียญของตัวเองทั้งหมดออกมา ทำให้เหรียญเพิ่มจำนวนผู้ถือครองอย่างรวดเร็ว 

โดยยุคนั้น DogeCoin เป็นเสมือนเหรียญให้ทิปเล่นๆ กัน เท่านั้น 

แต่แล้วก็เกิดปรากฎการณ์  Elon Musk ที่อยู่ดีๆ ก็กลับมาชอบเหรียญ Doge ซะอย่างงั้น โดยเฉพาะการ Twitter ครั้งแรก ในวันที่ 28 เมษายน เกี่ยวกับเหรียญนี้ ทำให้ราคาพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง


Coin 101 : Lite Coin

 Litecoin ( LTC หรือ Ł ) เป็นเงินคริปโต โดยใช้ OpenSource ภายใต้ license ของ MIT เปิดตัวตั้งแต่เดือนตุลาคม 2012 เรียกได้ว่า ทุกอย่างแทบจะเหมือนกับ BitCoin เลยทีเดียว (BitCoin เปิดตัวก่อน 3 ปี คือในปี 2009) 

ปัจจุบันมันใหญ่ระดับ 1 ใน 6 ในวงการมักจะเรียก BitCoin เป็น ทองคำ และเรียก  LiteCoin เป็น Silver อีกด้วย 

ที่มา
LiteCoin ถูกเปิดตัวครั้งแรกบน GitHub ในเดือนตุลาคม 2011 พร้อมๆ กับเปิดเครือข่ายในเดือนเดียวกัน  โดย ชาร์ลี ลี คนแอฟริกาใต้ ที่เป็นอดีตเป็นพนักงานใน Google ต่อมากลายเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมที่ CoinBase (ความจริงแล้ว เขาเริ่มต้นเป็นนักขุดบิทคอยน์มาก่อน และได้รับความรู้เรื่อง Client จาก Mike Hearn นักพัฒนาซอพท์แวร์ของ Bitcoin ทำให้เขามีแรงบันดาลใจที่จะสร้างเงินเป็นของตนเอง และในปี 2017 เขาก็เลือกลาออกจาก CoinBase เพื่อมาพัฒนา LiteCoin เต็มตัว) 

ในตอนแรก ลี มองว่า BitCoin นั้นเป็นพันธมิตรมากกว่า โดยมองว่า BitCoin  เหมาะสำหรับการทำธุรกรรมข้ามประเทศ และ ส่วนสกุลเงินของเขาเหมาะกับการทำธุรกรรมเล็กๆน้อยๆ 

มันตั้งอยู่บนพื้นฐานของ BitCoin Core เดียวกัน แต่ตั้งเวลาการสร้างบล็อกใหม่ที่น้อยกว่า คือแค่ 2.5 นาที แทนที่จะเป็น 10 นาทีเหมือน BitCoin สิ่งนี้เองทำให้การทำธุรกรรมของ LiteCoin นั้นจะเร็วกว่า BitCoin มาก (ก็เร็วกกว่าประมาณ 4 เท่า) อย่างไรก็ดี Lite Coin จะทำการ Halving ทุกๆ 840,000 บล็อกเช่นกัน ปัจจุบันอยู่ที่ 25เหรียญต่อบล็อก และค่า Diff จะเปลี่ยนทุกๆ 3.5 วัน (BitCoin ปรับทุก 14 วัน)

ขณะที่จำนวนเหรียญสูงสุดก็จะอยู่ที่ 84 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่า BitCoin 4 เท่าเช่นกัน  นอกจากนี้ LiteCoin เลือก การ Hash ก็ต่างกัน คือ BitCoin ใช้ SHA-256 แต่ LiteCoin  จะใช้ Scrypt แทน

ข้อเสียของ Scrypt คือ มันจำเป็นต้องใช้หน่วยความจำจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเป็นอัลกอริที่มที่มีความซับซ้อนในการสร้าง เครื่อง ASIC ทำให้มันมีราคาแพงมาก เน้นว่า ASIC ขุดได้แต่จะเป็นเครื่องที่มีราคาแพงมาก ยกตัวอย่างเครื่องที่ใช้ Hash สำหรับ Scrypt คือ Antminer L3++

การขุด LiteCoin
เข้าใจก่อนว่า Lite Coin ยังคงใช้ Proof  of Work  แต่พวกเขาจะใช้ Merkle Trees (มันเป็นการรัน Hash Function แล้วรันอีกซ้ำๆ (ประมาณว่า ป้องกัน Double Spend) 

พวกเขาเลือกอัลกอริทึ่มแบบ Scrypt  โดย ลี อธิบายว่า เพราะมันทำให้ใครสักคนหนึ่งสามารถขุด BitCoin ไปด้วย ขณะที่ ขุด LiteCoin ไปได้ด้วย (ในยุคนั้น เหรียญทั้งคู่สามารถขุดได้ด้วย CPU ) แต่ต่อมากลับมีคนคิดเอา GPU มาขุด รวมถึง ASICs ที่พัฒนามาเพื่อ SHA256 ทำให้ BitCoin นั้นย้ายไปหา 2 เครื่องดังกล่าว

ต่อมา LiteCoin ก็มุ่งหน้าไป GPU และ ASICs เช่นกัน  ทุกวันนี้ เราแนะนำให้ ใช้ ASICs กับ Scrypt  เพราะยากมากที่ GPU จะสามารถทำกำไรจากการขุด Scrypt โดยเฉพาะ Antminer L3+ ยิ่งเครื่องใหม่ๆ ที่มีราคาแพงก็ยิ่งทำให้ ตลาดถูกครอบครองโดย ASICs ไปหมด

*** จำไว้นิดหนึ่ง เครื่อง ASICs สำหรับ อัลกอริทึ่มแบบไหน ก็จะขุดได้แต่แบบนั้น แต่มันสามารถขุดข้ามเหรียญได้ด้วย ในอัลกอริทึ่มเดียวกัน ***  และแนะนำว่า คุณจะไม่ได้กำไรจากการขุดด้วย GPU เลย สำหรับ อัลกอริทึ่ม แบบ Scrypt 





วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2564

Mining 101 : Hash Rate

Hash rate คืออะไร

ก่อนจะไปเรียนรู้ว่า hash rate คืออะไร เราต้องเข้าใจการทำงานของ Mining ก่อน  อย่างที่อธิบายไปในหลายๆ บทความก่อน นั่นคือ การแก้ไขปริศนา ด้วยการสุ่มตัวเลข ถ้าคุณเดาตัวเลขถูกต้อง คุณก็จะได้รับเงินรางวัล

พื้นฐาน
Hashrate คือ ส่วนประกอบของ ฉันทามติ ด้วยการยืนยันการทำงาน หรือ ( Proof of Work ) แต่ประเด็นคือ มันเป็นการแข่งขันกันหลายคน ที่จะเป็นคนยืนยัน ของ  Transaction ใหม่ ใน บล็อกเชนใหม่ เพื่อยืนยันการทำงาน

ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า การยืนยันนั้นคือ ต้องหา ตัวเลขผ่าน ฟังก์ชั่นแบบ One Way ที่เราเรียกว่า Hash Funtion ซึ่งบางคนใช้ อัลกอริทึ่ม SHA256 (ง่ายๆ คือ มันคือ การ แปลงตัวเลข ด้วยการใช้กุญแจเพื่อใช้แปลกลับคืนมา)

นั่นคือ ฟังก์ชั่น มันมี Output รออยู่แล้ว แต่มันถูกซ่อนอยู่ เราจำเป็นต้องหา กุญแจ หรือ Input Information โดยที่เราไม่รู้เลยว่า Input data มันคืออะไร  แน่นอนว่า มันต้องเดาเท่านั้น  BitCoin จะเรียกมันว่า Nonce (เป็นจำนวนตัวเลข) โดยมันจะให้นักขุดแทนค่าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมัน Match กัน 

อะไรคือ Hashrate?
นักขุด จะต้องเดาตัวเลข Nonce (เป็นจำนวนตัวเลข) เพื่อหาให้ได้ว่า Output data เมื่อพวกเขาเดาถูก ก็สามารถสร้างบล็อกใหม่ได้   แต่ประเด็นคือ  จำนวนการเดาต่อ วินาที นั่นเอง ที่เราเรียกกันว่า hashrate 

ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ มีคนเดา 1,000,000  เลข ต่อวินาที นั่นคือ 1MegaHash per second (MH/s)  นั่นคือ การ์ด RTX3090 1 ใบ สามารถเดาตัวเลขได้ 115MH/s บน DaggerHashimoto อัลกอริทึ่ม Ethash นั่นเอง

ถึงตรงนี้ ต้องอธิบายอีกว่า แต่ละ อัลกอริทึ่มก็จะมีค่า Hashrate ที่แตกต่างกันออกไป เช่น KAWPOW หรือ Ethash 

ความยากในการเดา (Different) 
ประเด็นถัดมาคือ ความยาก หรือ Different หลายคนคงสงสัยว่า ระบบ หรือเน็ตเวิร์ก ของ BitCoin จะไปกำหนดความยาก ในการถอดรหัส เพื่ออะไร 

สิ่งแรกที่ระบบกำหนด คือ จะต้องสร้างบล็อกใหม่ ทุก 10 วินาที ซึ่งหากทั้งระบบ (นักขุดในระบบทั้งหมด )มี อัตรา Hashrate หรือเดา รวมกันได้ที่ 1000 เลขต่อ วินาที  ระบบหรือเน็ตเวิร์กจะต้องกำหนดความยากไว้ที่ 10000 เลขต่อวินาที เพื่อให้นักขุดใช้เวลา 10 วินาทีในการสร้างบล็อกใหม่ นั่นเอง   

ดังนั้น ค่าความยาก ก็จะสัมพันธ์ กับ hashrate ในระบบทั้งหมดนั่นเอง ไม่เช่นนััน ระบบจะออกบล็อกใหม่ที่เร็วกกว่าเดิมเสมอ


Mining 101 : PoS Vs PoW

Proof of Work vs Proof os Stake 

ประเด็นคือ ทำไมเราต้อง "ยืนยัน Proof " ในระบบเงินคริปโต แล้ว Proof of Work กับ Proof Of Stake แตกต่างกันอย่างไร

Proof of Work
เริ่มต้นเราจะมาเรียนส่วนประกอบสำคัญของ BlockChain นั่นคือ Proof of Work  เป็นการทำงานที่ป้องกันการ Double Spending (การจ่ายซ้ำ)

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า อะไรคือการจ่ายซ้ำ  เพื่อเข้าใจว่า ทำไมมันแก้ปัญหาการจ่ายซ้ำ ได้อย่างไร ง่ายๆ คือ เงิน คริปโตจำนวนเดียวกัน แต่สามารถจ่ายซ้ำได้มากกว่าหนึ่งครั้งนั่นเอง แน่นอนว่า มันผิดกฎหมาย   ในโลกความเป็นจริง เมื่อเราจ่ายเงิน(จริงๆ) ไปแล้ว เงินจะเป็นของคนอื่นไปแล้ว เราไม่สามารถเอามาจ่ายซ้ำได้อีก

ในอดีตเงินดิจิตอลก็เป็นแบบนี้  แต่เพราะมันยังเหลือความทรงจำใน Memory อยู่ (เหมือนกับ การ Copy Paste มันจะอยู่ในความจำอยู่) และ Proof of Work มาเพื่อแก้ปัญหานี้ คือ BlockChain จะมีเส้นเดียว หรือ Block ถัดไปมีแค่ Block เดียวเสมอ (ในอนาคตมีคนคิดค้น การแตก Block ได้สำเร็จแล้ว โดยที่ไม่มีการจ่ายซ้ำ)

มันป้องกันการจ่ายซ้ำอย่างไร
Proof of Work คือ การยืนยันธุรกรรม ของ BlockChain หรือที่เราเรียกกันว่า Mining หรือ การขุด

อย่างที่เราเน้นกันมาตลอด BlockChain คือ การ Distributerd Ledger (หรือการจดบันทึกบน Database แบบกระจายออก)  ตัว BlockChain จะกระจายออกไปตาม Node ทั่วโลก นั่นทำให้มันเป็นระบบ Decentralization และแต่ละ Node จะรับ Block ใหม่ เข้าไปเชื่อมกับ BlockChain เดิม

อย่างไรก็ดี จะมี Nodes บาง Nodes ที่จะใช้ทรัพยากรในการคำนวนได้คนแรก เพื่อสามารถเพิ่ม Block ใหม่เข้าไปใน Block เก่าได้ ก่อนจะส่งบล็อกใหม่ไปให้คนอื่น

หากเลือก Algo แบบ Proof of Work เรามาดูวิธีการเพิ่ม Block ใหม่เข้า BlockChain อย่างไร

ขั้นตอน สร้างบล็อกใหม่ 
เริ่มแรก นักขุดเหมือง จะต้องแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์แบบทางเดียว (Hash ใส่แบบ SHA256 สำหรับ BitCoin ) ให้สำเร็จก่อน โดยเมื่อแก้ปัญหาสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นเหรียญใหม่ หรือ ด้านการเงินอื่นๆ ด้วย โดยที่เมื่อแก้สำเร็จ ก็จะประกาศให้โหนดอื่นๆ รู้ กันทั่ว

สำหรับ Hash แบบ SHA256 คือ คุณสามารถรรับค่า Y จาก X ได้ แต่ไม่สามารถ รับค่า X จาก Y ได้ (ทำให้ถูกเรียกว่า One Way Function) โดยมันเรียกการ Hash นี้ว่า CryptoGraphy  ยกตัวอย่างเช่น BitCoin Wallet Address จะต้องมี Private Key จะต้องมี เพื่อใช้แก้ SHA256 ถึงได้ OutPut  

 ยกตัวอย่าง เราเอาคำว่า Nicehash มา Hash ด้วย Algo  SHA256 จะได้ 

D22df564d771ed4e6785029de215e9f9e2affe9bbe37bacc8544c32f0a162ba3

คำว่า Nicehash นี้ จะมี Private Key และ Output จะเป็น Public Key  สิ่งแรกคือ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ย้อนกลับโดยไม่มี Private Key หรือ Input Data (ต้องมีทั้ง 2 อย่าง)

จำไว้ว่า Sha256 มันสามารถใช้ได้แบบไร้ขีดจำกัด ของ Data แม้กระทั่ง Images

ถึงตอนนี้ นักขุดเหมืองจะมี Input Data มาแล้ว เหลือเพียง Private Key เท่านั้น ที่ไม่มีใครมี แต่นักขุดเหมืองจะต้องถอดรหัสออกมาให้ได้ คือต้องหา Private Key มาให้ได้นั่นเอง  แต่มันจะแก้ปัญหาด้วยการสุ่ม หรือเรียกว่า Nonce (เลขที่เป็นถูกสร้างไว้) เพื่อหา Output ที่ต้องการให้ได้

โดยปกติ Output จะเริ่มต้นด้วยเลข 000000 6 ตัว นักขุดจะต้องสุ่มค่าจนกว่าจะได้ OutPut  ที่มีเลข 0 6 ตัว 

เมื่อแก้ตัวเลขเสร็จ มันจะได้ Output ของบล็อกก่อน นำมาเชื่อมต่อเพื่อสร้างบล็อกใหม่เท่านั้นจบ

Proof of Stake 
ปัจจุบันมีบางเหรียญ เช่น Cardano(ADA) เป็นเหรียญยอดนิยมที่ใช้การยืนยันธุรกรรมด้วย Proof of Stake ขณะที่ Etherieum ก็กำลังจะเปลี่ยนจาก Proof of Work เป็น Proof of Stake ซึ่งเหรียญสัญญาว่า จะลดค่า Fee ลง และรักษาสิ่งแวดล้อมมากกว่า

ประเด็นคือ การยืนยันแบบ Proof of Stake คืออะไร  

Proof of Stake หรือ PoS คือ การยืนยันธุรกรรมบนระบบ BlockChain (ป้องกันการจ่ายซ้ำ)  และ เพื่อป้องกัน 51% Attacks  โดยที่แท้จริงแล้วยังคงใช้พลังการคำนวณในการแก้ปริศนา เพื่อยืนยันการทำธุรกรรม แต่มันกลับกันคือ ใช้ การถือ (Stake) ในการเรียงลำดับสิทธิ์ในการยืนยันการทำธุรกรรม(ถอดรหัส)

แนวทางการทำงาน  คือ มันไม่ใช่แย่งกันขุดเหมือง(แก้ปริศนา)  แต่มันเป็นการยืนยันการทำธุรกรรม โดยแต่ละ Node จะยืนยันแบบ สุ่ม โดย Networks

ย้อนกลับมา PoW นั้น นักขุดทุกคนจะพยายามแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เป็นคนแรก เพื่อจะแย่งกันรับรางวัล ทำให้มันใช้พลังงานอย่างมาก

แต่ Proof of Stake นั้นต่างกัน คือ เน็ตเวอร์ก จะสุ่มเลือก Node หนึ่งขึ้นมา (บนพื้นฐานของ Stake และปัจจัยอื่นๆ บางอย่าง)  เพื่อยืนยัน และสร้างบล็อก ใหม่  ยกตัวอย่างบางปัจจัย เช่น จำนวนการถือครองเหรียญ  (Stake) ที่ยิ่งถือครองมาก็ยิ่งมีสิทธิ์มาก  ขณะที่ ETH2.0 การจะเป็นผู้ยืนยันหลักได้จะต้องถือครองเหรียญ 32 ETH เป็นอย่างน้อย

ทำไมเราถึงเชื่อว่า ผู้ยืนยันจะไม่โกง เพราะ เขาถือเหรียญไว้เยอะนั่นเอง ถ้าเขายืนยันไม่ถูกต้อง เขาจะต้องสูญเสียเงินทั้งหมดที่เขา Stake 

จุดนี้เองที่ทำให้ PoW จะดึงดูดนักขุดจากทั่วโลกมาแย่งชิง การแก้ปริศนา แล้วแบ่งเงินรางวัลกันไป ขณะที่ PoS จะใช้ คนเดียว หรือกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียว ในการ ยืนยันธุรกรรม นั่นคือข้อได้เปรียบที่ทำให้ มันรักษาสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่ข้อเสียคือ มันเป็นระบบของนายทุน คือ คนยิ่งรวยและจะยิ่งรวยในระยะยาว ซึ่งสุดท้ายอาจเหลืออยู่ไม่กี่ Nodes เท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2564

Coin 101 : Raven Coin

Ravencoin (RVN)

Ravencoin ยังคงเป็นเน็ตเวิร์กแบบ P2P และอยู่บนพื้นฐานของ BitCoin โดยบุคคลที่อ้างชื่อเป็น Tron Black และ Bruce Fenton ได้เปิดตัว White Paper ที่รวมเอาข้อดีของ BitCoin และ Etherum มารวมกัน เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2018

โดยชื่อ Raven นั้น คาดว่า น่าจะนำมาจากซีรีย์เรื่อง Game of Thrones เนื่องจากในภาพยนตร์นั้นมี Raven เป็นการยืนยันความจริง เปรียบเสมือนกับ เหรียญ RavenCoin ในระบบ Block Chain ที่เป็นยืนยันการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน เช่นกัน 

แต่บางคนบอกว่า มันมาจากชื่อ ระบบขนส่ง ในนิยายชื่อ A song of Ice and Fire ที่จะใช้นกเป็นตัวขนส่งภายในทวีป มันจึงมีชื่อ และ สัญลักษณ์เป็นนก นั่นเอง 

กระบวนการสร้างเหรียญ RVN จะแตกต่างจากเหรียญ Crypto currency ทั่วๆไป คือจะถูกสร้างขึ้นตามกระบวนการ ICO  (Initial Coin Offering คำอธิบายคือ ตอนเริ่มต้น พวกคนสร้างเหรียญ (ตอนเริ่มต้นจะเรียกว่าเป็น เหรียญโทเคน(ที่อ้างอิงจากเหรียญอื่นมาก่อน)  เพราะยังไม่เป็นเหรียญเป็นตัวของตัวเองเลย)  แล้วก็ขายเหรียญโทเคนเหล่านี้ออก เพื่อระดมทุนมา สร้างเหรียญจริงผ่านคริปโตอื่นไปก่อน คนที่ซื้อเหรียญใหม่จะต้องมั่นใจใน มูลค่าเหรียญใหม่นี้และบริการต่างๆของเหรียญใหม่ว่าจะเติบโต )

แต่เหรียญ RVN ถูกสร้างขึ้นโดยกระบวนการ STO.(Security Token Offering จะเป็นการเสนอขายหลักทรัพย์มากกว่า) ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันในการสร้างแต่ละเหรียญ

จุดเด่นของเหรียญนี้ก็คือ ไม่มีเหรียญสำหรับผู้ก่อตั้งใดๆ ไม่มีใครได้สิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่นแต่อย่างใด และมีลักษณะเป็น Open Source อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ทุกคนไม่ว่าจะเป็น Dev หรือ ผู้ก่อตั้ง ก็ต้องเริ่มต้นขุดพร้อมๆ กับคนอื่นๆ อีกด้วย ถือว่าเป็นเหรียญที่แฟร์มากๆ

โดยวัตถุประสงค์ที่แรงกล้าแรกคือ พวกเขาต้องการยืนยัน ด้วยระบบ Proof of Work ที่ต่อต้านการใช้เครื่อง ASIC โดยเฉพาะ

โดยพวกเขาแยกตัวออกจาก BitCoin โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้

1. สร้างบล็อกใหม่ทุก 1 นาที ( BitCoin จะสร้างบล็อกใหม่ที่ทุก10 นาที ) 
2. เงินรางวัลสำหรับบล็อกใหม่คือ 5,000 RVN ในครั้งแรก โดยมกราคม ปี 2022 จะถูก Havling ลงมาอยู่ที่ 2,500 เหรียญ และเป็นแบบนี้ ทุกๆ บล็อกใหม่ 2,100,000 บล็อก)

3. อัลกอรึทึม เริ่มแรกพวกเขาเลือกที่จะใช้ X16R (แต่อัลกอนี้ มันไม่สามารถต่อต้าน ASIC ได้อีกต่อไปพวกเขาเลยเลือกที่จะเปลี่ยน X16Rv2) ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น KawPow (พฤษภาคม 2020) อย่างไรก็ดี มันยังคงได้รับอิทธิพลบางอย่างมาจาก X16R

 อัลกอรึทึมนี้ ผู้พัฒนาวางแผนมาเพื่อกำจัด เครื่อง ASIC ในสมัยนั้นให้ออกจากระบบ เนื่องจาก ตอนนั้นมีเครื่อง ASIC ที่ใช้ถอดรหัสสูงถึง 40% ในระบบ ทำให้ เจ้าของเครื่อง ASIC เหล่านั้นเริ่มมีอิทธิพลสูงต่อระบบ หรืออธิบายอีกอย่างว่า ไม่มีการกระจายอำนาจนั่นเอง

โดยมักจะใช้  KAWPOW ที่เป็นอนุพันธ์ของ ProgPOW ที่ต้องใช้พารามิเตอร์เฉพาะสำหรับ Ravencoin

4. เหรียญทั้งหมดจะมีทั้งหมด 21 พันล้านเหรียญ RVN ขณะที่ BTC นั้นจะอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น

จุดเด่นที่สุดของเหรียญ Raven ที่คนทั่วไปมักมองข้ามกัน ก็คือ มันสามารถจะแปลงเป็น โทเคน เพื่อใช้ยืนยันทรัพย์สินได้เช่นเดียวกับ ETH (ที่อยู่บนพื้นฐาน ERC-20 เช่นกัน)  และยังแปลงเป็น NFT (ทรัพย์สินที่ไม่ซ้ำกัน ตามมาตรฐาน ERC721 )เช่น ที่ดิน หรืออื่นๆ ได้นั่นเอง อย่าง รูปภาพ ลิขสิทธิ์ ต่างๆ ได้

ประเด็นสำคัญคือ มกราคม 2022 จะเกิดเหตุการณ์ Halving  คือลดเหรียญรางวัลการขุดลงจาก 5000 ลงเหลือ 2500 เหรียญ 

วิธีขุด  
สมัคร Binance 
Download Trex Miner หรือ Nano Miner มา
แก้ Bat จบ

RVN
1050Ti 4GB – 6.5 Mh/s;
1060 3/6GB – 9.5 Mh/s;
1070 8gb – 17 Mh/s;
1080 8gb – 27 Mh/s;
1080Ti 11gb – 34 Mh/s;
1660: CORE = -200, MEM = 1500, PWR = 70        16 Mh/s
1660Super: CORE = 0, MEM = -1004, PWR = 75  
1660Ti:          19 MH/s
2060 6gb    +120    +800                               – 20-21 Mh/s;
2070 8gb – 30 Mh/s;
2080 8gb – 31 Mh/s;
2080Ti 11gb – 38 Mh/s.
3070 Core: 1100 (absolute) Mem: 2600  PWR: 150W (card draws less)   30.80 MH/s

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2564

คำแนะนำสำหรับมือใหม่ ตอนที่ 3 Timeline ของ ETH

 คำแนะนำสำหรับมือใหม่ ตอนที่ 3  Timeline ของ ETH 

 เป็นที่รู้กันว่า ETH หรือ Ethereum นั้น เป็นเหรียญที่นักขุดเหมืองสามารถทำเงินได้กำไรมากที่สุด (ณ 13/7/2021) แต่ประเด็นคือ มันกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก  คือ ห้ามขุดอีกต่อไป

ดังนั้น เรามาแนะนำมือใหม่ กับเหรียญ ETH

มันเปิดตัวตั้งแต่ ปี 2013 โดย โปรแกรมเมอร์อัจฉริยะ ที่ชื่อ วิทาลิก บูเตริน แต่เปิดเครือข่ายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2015  โดยมันเป็นเหรียญสำคัญที่ทำให้เกิดหลายสิ่งใหม่ดังนี้ 

1. Smart Contact (สามารถฝัง Script หรือโปรแกรมเล็กๆ ไว้ใน BlockChain ได้เลย การเปิดตัว Smart Contact นั้นได้รับการยกย่องว่าเป็น นวัตกรรมที่จะมาพลิกโฉมหน้าวงการเงินคริปโตเลยทีเดียว เพราะยุคนั้น แม้แต่ BitCoin ก้เป็นเพียง ระบบบันทึกข้อมูลเท่านั้นไม่สามารถทำอะไรได้ โดยโปรแกรมจะเขียนด้วยภาษาใหม่คือ Solidity ที่จะคล้ายกับ C และ Java)
2. Defi  (ระบบการเงินที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลาง และรัฐบาล อีกต่อไป โดยมีตัวอย่างคือ Compound ที่ปล่อยให้คนกู้และคนปล่อยกู้ได้โดยตรง)
3. Token Coin (คือการสร้างเหรียญเสมือนไปแทนอะไรบางสิ่ง)  และ NFT Token อีกด้วย (เหรียญที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของอะไรบางอย่างในโลกความเป็นจริง)

โดยข้อ 2-3 พวกเขาอาศัย เครือข่ายที่เรียกว่า ERC-20 (เป็นมาตรฐานทางบัญชีของ ETH ที่สร้างขึ้นเพื่อโอนเงิน จากบัญชีหนึ่งไปยังอีกบัญชีหนึ่ง)

นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สำหรับนักขุดเหมืองมากนัก  สิ่งที่นักขุดต้องการรู้คือ ETH2.0 ที่กำลังจะเปลี่ยนจาก Prove Of Work (PoW) ไปเป็น Prove Of Stake (PoS) มากกว่า ที่ ทีม Dev ของ ETH ออกมาเตือนนักขุดเหมืองทั้งหลายว่า พลั่ว(การ์ดจอ) ในมือนักขุดจะกลายเป็น ที่ทับกระดาษ ไปเลย

ETH2.0 หรือ Serenity
วัตถุประสงค์แรกสุด ที่พวกเขาต้องการแก้ปัญหาคือ ความล่าช้าของการทำธุรกรรม ที่ ETH นั้นทำได้เพียง 15 ธุรกรรมต่อ 1 วินาที การที่พวกเขาต้องการเพิ่มเป็น 10,000 ธุรกรรมต่อ 1 วินาที ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ ETH2.0

สิ่งที่พวกเขาเริ่มออกแบบคือ Block จะถูกสร้างแบบคู่ขนาน หรือเรียกว่า Sharding เมื่อทุกคนลงฉันทมติ (เดิมจะเป็นนักขุด) ว่าถูกต้อง ก็จะสร้าง Block รวมกลับเข้ามา 

มันแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส
1. เฟส 0  คือการรันเครือข่ายที่ชื่อ Beacon Chain ที่เริ่มไปแล้วตั้แต่วันที่ 1 ธันวาคม  2020
2. เฟส 1  จะมีการสร้างโซ่ Sharding เพื่อเชื่อมต่อกับ Beacon Chain (ยังไม่กำหนดระยะเวลา)
3. เฟส 2  บางคนจะเรียกเฟสนี้ว่า Merge จะเป็นการรวมเอา ETH เข้ากับ Beacon Chain อันนี้เองที่นักขุดจะกลัวกันมาก ( แม้จะยังไม่กำหนดระยะเวลา แต่กำหนดการคราวๆ จะเป็น ธันวาคม 2021)

อย่างไรก็ดี ตารางการอัพเกรดล่าสุดคือ EIP 1559
จากตารางการอัพเดทล่าสุด คือ บล็อกที่ 12,965,000 ประมาณวันที่ 5 สิงหาคม 2021 โดยมันจะเป็นการเผาเหรียญ ที่เป็นรายได้ค่าธรรมเนียมที่ได้ แทนที่จะให้นักขุดเหมือนเดิม 

บทวิเคราะห์ ETH หลัง EIP 1559
มีคนวิเคราะห์ว่า การเผาเหรียญค่าธรรมเนียมนั้น จะเป็นปริมาณที่มากกว่า เหรียญที่เกิดใหม่จากการขุด (ทุก 10 นาที) นั่นจะทำให้ Supply ของเหรียญลดลงอย่างมาก ทำให้เชื่อกันว่า เหรียญ ETH จะมีราคาที่สูงขึ้น

ขณะที่นักขุดมองเป็น 2 ทาง แม้ว่าราคาจะขึ้นสูงจนคุ้มค่ากับรายได้ที่หายไป และยังมุ่งหน้าขุดต่อไป จนกระทั่ง ETH2.0 จะมา 

ขณะที่นักขุดอีกฝ่ายมองว่า  รายได้มันจะลดจนขุดไม่คุ้ม เมื่อเทียบกับเหรียญอื่นซะแล้ว แต่สายที่มองด้านนี้จะมองในแง่ดีคือ GPU ราคาจะลดลงอีก (มีคนออกความเห็นว่า ตอนนี้มีแต่การ์ด LHR แล้ว ที่ออกมาตัดราคาลงมามากแล้ว ทำให้การ์ดราคาค่อนข้างนิ่งแล้ว ไม่น่าลงแบบมากมายอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นการ์ดของ AMD ต่างหากที่ยังไม่ลงเลย น่าจะราคาลงแรงมากหาก EIP 1559 มาจริง)

และเตือนสติ คนที่มองว่า ราคาเหรียญ จะขึ้นว่า ถ้าราคาของ ETH ไปถึง 1 แสนเหรียญ  market Cap ของ ETH จะพุ่งไปที่ 1หมื่นล้านเหรียญเลยทีเดียว ซึ่งมันยากที่จะเกิดขึ้นได้

บทวิเคราะห์หลัง ETH2.0
แน่นอนว่า มันจบแล้วสำหรับการขุด ETH ส่วนใหญ่  หลายคนแสดงความคิดเห็นใน Reddit ว่า จะมุ่งหน้าไปเหรียญอื่น แต่ที่เป็นประเด็นคือ RVN ถือเป็นอันดับหนึ่ง หลายคนถึงกับแนะนำให้รีบไปศึกษา เหรียญ RVN กันไว้แต่เนิ่นๆ เลยทีเดียว และบางคนก็มองว่า ถ้าทุกคนมาขุด RVN  ก็เตรียมเก็งกำไร ถือเหรียญ RVN กันไว้แต่เนิ่นๆ เช่นเดียวกัน

แต่บางคนมองว่า เหรียญ นกแก้ว หรือ RVN นั้นแม้จะขุดได้ และกำไร แต่มันไร้สาระมากๆ เพราะในอดีตมันติดโผ หนึ่งใน Shit Coin (เหรียญขยะ) ด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าจะมี นักขุดบางคนไม่สนใจ สนใจเพียงแค่ขุดแล้วได้กำไรสูงสุดเท่านั้น


บางคนมุ่งหน้าไปหา ASIC แทนดูจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า 





วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

GPU Mining 101: 2.1 : Hardware : 2.2 การ์ด LHR (สำหรับค่ายเขียวต้องรู้)

GPU Mining 101: 2.1 : Hardware :  2.2 การ์ด LHR (สำหรับค่ายเขียวต้องรู้)

เป็นที่รู้กัน คือ ตลาดสำหรับ NVidia คือ เน้นไปที่ คนเล่นเกมส์ เป็นหลัก แต่ด้วยราคาเหรียญคริปโตที่ผ่านมาพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้นักขุดเหมาการ์ดจอไปทั้งหมด จนเกมส์เมอร์นั้นไม่มีการ์ดจอไปเล่นเกมส์เลยทีเดียว NVidia จึงต้องวางเผนลดแรงขุด (ในอดีต Nvidia ก็ไม่สนใจ ตลาดขุดเหมืองอยู่แล้ว ขณะที่ AMD นั้น มุ่งหน้าพัฒนาเพื่ออัพแรงขุด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน) 

ดังนั้นในปี 2021 NVidia ได้ออกการ์ด เวอร์ชั่นที่ 2 สำหรับ การ์ด Series 30x0 ที่เรียกว่า  Lite Hash Rate หรือ LHR เพื่อลดแรงขุดเหรียญลง เพื่อให้โอกาส นักเล่นเกมส์ได้ซื้อการ์ดไปใช้เล่นเกมส์ แต่ประเด็นนี้ทำให้ นักขุดนั้นสับสน เพราะอาจขาดทุนได้ ถ้าหยิบการ์ดมาผิดได้

LHR ทำงานแบบไหน คือ NVidia แจ้งว่า หากการ์ดเจองานขุด (Hash)   มันจะเบิ้ลการทำงานเป็น 2 เท่านั่นหมายความว่า แรงขุดจะลดลง เหลือครึ่งหนึ่ง ขณะที่ค่าไฟจะไม่สามารถลดลงได้นั่นเอง 

LHR นั้นจะมีเฉพาะใน ซีรีย์ 30X0 เท่านั้น โดยจะมี 2 Version (เราจะเรียกเป็น Original Version และ LHR Version 

รหัส ชิป เมื่อคุณดูด้วย GPU Z หรือ Device ID 

Original Version หรือ Full  Hash ETH 

GeForce RTX 3090 - GA102-300 (PCI Device ID: 2204)

GeForce RTX 3080 - GA102-200 (PCI Device ID: 2206)

GeForce RTX 3070 - GA104-300 (PCI Device ID: 2484)

GeForce RTX 3060 Ti - GA104-200 (PCI Device ID: 2486)

GeForce RTX 3060 - GA106-300 (PCI Device ID: 2503)

New RTX 30 LHR series: 

GeForce RTX 3080 - GA102-202 (PCI Device ID: 2216)

GeForce RTX 3070 - GA104-302 (PCI Device ID: 2488)

GeForce RTX 3060 Ti - GA104-202 (PCI Device ID: 2489)

GeForce RTX 3060 - GA106-302 (PCI Device ID: 2504)

(หมายเหตุ 3060 นั่น แม้จะเป็น Original Version ก็ถูกลดแรงขุด แต่ NVidia นั้นเผลอปล่อย Driver ปลดล็อก ออกมาทำให้ นักขุด อาศัยเงื่อนไขต่างๆ ในการปลดล็อกได้ ทำให้มันกลับเป็น Version Full อีกครั้ง) 

วิธีการดูว่า ยี่ห้อไหน มีการ์ดเป็น LHR ดังนี้
เชื่อกันว่า การ์ด 3080  ที่เป็นรุ่น FE(Founder Edition) ของทุกแบรนด์ จะไม่มี LHR

Zotac  Galax  Palit Inno จะเขียนไว้ที่กล่องเลย  
Gigabyte จะใช้คำว่า Rev 2.0  (ล่าสุดในกลุ่มได้ Rev 1.0 แต่ข้างกล่องเขียนว่า LHR) 
Asus จะใช้คำว่า V2
EVGA จะมี KL ต่อท้าย

INNO จะมี H ต่อท้าย (ไม่เสมอไป)
    INNO  3060 TWIN X2 OC  รหัส  N30602-12D6X-11902120H
    INNO  3070 Ti X3                รหัส  N307T3-086X-1820VA45


โดยที่การ์ดรุ่น 3070Ti และ 3080Ti  เป็น LHR แน่นอนเสมอ 

สำหรับ การ์ด 3060 แบบเก่านั้น มีเงื่อนไขในการทำให้วิ่งเต็มดังนี้
1. ต้องใช้ Driver 470.05 เท่านั้น
2 ต้องเปิดหน้าจอตลอด (ทางเลือกคือ ใช้ HDMI Dummy หลอก) 
3 PCIe ที่เสียบ ต้องเป็นแบบ 3.0 และต้องเป็น x8 (ขั้นต่ำ)  ดังนั้นหากจะใช้ Riser Card ต้องเป็น Riser แบบยาว (x16) เท่านั้น 
ขณะที่การลง Driver ก็ไม่ง่าย หากคุณลงการ์ดหลายใบ จะต้องเสียบ 3060 ไว้ก่อนแล้วลง Driver ให้เสร็จ ค่อยรีสตาร์ทครั้งหนึ่ง แล้วค่อยลง การ์ดอื่นต่อไป

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

คำแนะนำ สำหรับ มือใหม่ หัดขุดเหรียญ ตอนที่ 1 พื้นฐานสายการ์ดจอ

มือใหม่หัดขุดเหรียญคริปโต (สายการ์ดจอ)

1. ตรวจสอบการ์ดจอ ในตลาด และอัตราผลกำไรของเหรียญต่างๆ 
ถึงตรงนี้เราจะไม่พูดพื้นฐานของเหรียญต่างๆ สำหรับมือใหม่ มีทางเลือก 2 ทางที่จะขุดคือ ขุดแบบ One-Click กับขุดตรง Pool เลย  สำหรับมือใหม่ เราแนะนำให้ไปทางเลือกหลัง (ฟังดูอาจเป็นเรื่องยากมาก แต่ความจริงมันง่ายมากๆ  และมันทำให้มือใหม่เข้าใจกระบวนการขุดได้อย่างรวดเร็ว และยังได้รับกำไรที่สูงกว่าอีกด้วย)

อย่างไรก็ดี ย้อนกลับมา สำหรับมือใหม่และมือเก่าก็ตาม การเลือกการ์ดจอ ถือเป็นปัจจัยชี้ขาดหลัก โดยมีทางเลือกใหญ่ๆ คือ การ์ดจอ NVidia AMD และ ASIC 

แต่เราบอกแล้วว่า เราแนะนำมือใหม่สาย การ์ดจอเท่านั้น   และเราก็แนะนำให้ไปที่ตรวจสอบที่เวป
https://www.nicehash.com/mining-hardware

และก็มาตรวจสอบราคาการ์ดจอมือ 1 (มือสอง เราไม่แนะนำสำหรับมือใหม่มากๆ เพราะส่วนใหญ่แล้ว การ์ดมือสองที่เกิน 2 ปี มันเริ่มที่จะต้อง Maintain กันบ้างแล้วเช่น เปลี่ยนซิลิโคน หรือ Themal Pad)

สำหรับ การ์ดจอ นั้น เราแนะนำที่ 2 พัดลมกำลังดี เพราะการ์ดต้องทำงาน 24/7 การระบายความร้อนถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราไม่แนะนำให้ ใช้ 3 พัดลม เพราะมันจะเริ่มกินไฟมากขึ้น  ขณะที่ พัดลมเดียว อาจระบายความร้อนไม่ทัน โดยเฉพาะห้องที่ไม่ได้มีการวางแผนระบายลมที่ดีพอ

สิ่งถัดมา แม้เราจะขึ้นหัวข้อว่า ให้เลือกเหรียญที่จะขุด แต่ เราแนะนำอย่างหนักว่า มือใหม่ควรเริ่มต้นจากขุดเหรียญ Ethereum ไปก่อน เพราะ มันยังคงเป็นเหรียญที่กำไรมากที่สุดสำหรับสายการ์ดจอ  แต่ก็อย่าลืมศึกษาเหรียญทางเลือกไว้ด้วย เพราะเหรียญ  Ethereum กำลังจะจบแล้ว  เหรียญทางเลือก เราแนะนำให้ศึกษาเพิ่มเติม มี  4 เหรียญ คือ RavenCoin Firo Ergo Conflux 

แม้เราจะแนะนำให้เริ่มต้นด้วย Ethereum แต่ก็อย่าลืมศึกษาผลกำไรของแต่ละเหรียญ แล้วอย่าลืมหักค่าไฟกันด้วย (ประเทศไทยเราแนะนำให้คำนวณที่ 4.5 บาทต่อหน่วย (1000W) 

โดยแนะนำให้ไปตรวจสอบผลกำไรแต่ละเหรียญที่เวปด้านล่าง

https://whattomine.com/

2 การหา Pool ขุด 
การหา Pool ขุด เราแนะนำ 2 Pool พื้นฐานสำหรับมือใหม่ คือ Ethermine และ 2Miner เพราะ 2 Pool นี้ค่อนข้างมีประวัติที่สะอาด และไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แต่ก็อย่าลืมสำรวจ Pool อื่นๆไว้ด้วย เช่น Binance HiveOn โดยสิ่งที่ต้องตรวจสอบก็คือ เวลาเราขุดใน Pool นั้นๆ มันจะมีค่า Fee (ค่าธรรมเนียมที่เราต้องจ่ายให้ Pool ด้วย)  รวมถึง จำนวนคนขุด  Hashrate และบล็อกสุดท้ายที่ Pool นี้ขุดได้ 

สิ่งสำคัญ คือ ทุก Pool จะมีเงื่อนไขการจ่ายเงินที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น Ehtermine จะจ่ายทุก 2 อาทิตย์ หลังจากที่ คุณได้ต่ำสุด 0.001 ETH (นั่นหมายความว่า ถ้าคุณมี Hashrate  ที่น้อย อาจต้องหลีกเลี่ยง)

สามารถตรวจสอบข้อมูล Pool ต่างๆ ได้ตามลิงค์ด้านล่าง
https://miningpoolstats.stream/ethereum

https://www.poolwatch.io/coin/ethereum


และเวปไซต์ Pool อย่างเป็นทางการ

https://2miners.com/

https://ethermine.org


สุดท้ายคือ การใช้โปรแกรมอะไรขุด 

สิ่งแรกที่เราอยากเตือนก็คือ  โปรแกรมขุด ส่วนใหญ่นั้น จะไม่ผ่าน Anti Virus เสมอ ดังนั้น โปรแกรมเหล่านี้มันจะต้องไปยกเว้น Anti Virus ไว้ก่อนเสมอ  ซึ่งแน่นอนว่า มันอันตรายมากที่ ข้าม Anti Virus ดังนั้น เราแนะนำให้ดาวน์โหลดจากแหล่งอย่างเป็นทางการเท่านั้น (รับประกันว่า หากคุณไปดาวน์โหลด แบบ Modify เป็นพิเศษมา คุณได้เจอบิ๊กเซอร์ไพรส์แน่นอนในวงการนี้) 

โปรแกรมขุด แรกที่เราแนะนำสำหรับมือใหม่คือ PhenixMiner (มือใหม่สามารถหา คู่มือ กลุ่มสนทนา และ สอนทาง Youtube เยอะมาก ถ้าคุณมีปัญหา) ตามลิงค์ด้านล่าง

https://phoenixminer.org/

เมื่อคุณดาวน์โหลดมา แล้ว มันจะมีส่วนของไฟล์ Batch (นามสกุล bat) ซึ่งสามารถใช้ NotePad แก้ไขได้เลย สิ่งที่คุณต้องใส่หลักๆ ส่วนใหญ่ จะมีดังนี้
1 ชื่อโปรแกรม ขุด (Miner) 
2 Option บางที Miner อาจต้องระบุ  เหรียญ หรือ อัลกอริทึ่มของเหรียญ
3 Pool ที่คุณจะขุด
4 Address เหรียญที่คุณจะขุด (หรือเรียกว่า กระเป๋าตังค์ Wallet) (ตรงนี้อาจมี Option บางโปรแกรมจะให้ระบุ Password แต่ส่วนใหญ่จะเป็น -p x มากกว่า)  
สุดท้ายจะเป็นการระบุชื่อ Rig (-worker) ก็เป็น Option ซะมากกว่า 

ส่วนสิ่งอื่นๆ ก็จะเป็น Option มากกว่า

ยกตัวอย่างเช่น 

PhoenixMiner.exe -pool eu1.ethermine.org:4444 -wal 0xAB94112445421872c30eB96014b78Be26B00e6E7 -worker baby -epsw x -mode 1 -log 0 -mport 0 -etha 0 -ftime 55 -retrydelay 1 -tt 79 -tstop 89 -coin eth

pause

t-rex.exe -a kawpow -o stratum+tcp://rvn.2miners.com:6060 -u RJbYxLB8pvP4WuYaWpfSJHAzhxLZHcTsN9.baby -p x

pause

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว  คุณควรที่จะเริ่มต้นขุดได้แล้ว  โดยเมื่อเริ่มขุด ต้องรอไปประมาณ 20 นาที เพื่อรอดู Hashrate ที่ได้รับ (ยิ่งมากยิ่งรายได้มาก) และจะได้ตรวจสอบด้วยว่า คุณได้รายได้เท่าไหร่ในบางโปรแกรม

สิ่งสุดท้าย ที่ต้องรู้ คือ OverClock
แม้จะขุดได้แล้ว แต่คุณยังไม่ได้ทำกำไรสูงสุด  ถึงตอนนี้บอกเลยว่า เป็นเรื่องน่าปวดหัวที่สุดสำหรับนักขุดกันเลยทีเดียว แม้จะมีตำรามากมาย แต่มันไม่มีสูตรตายตัว 

ก่อนจะเริ่ม OverClock คุณควรมี 2 โปรแกรม นี้ก่อน คือ  GPU-Z และ MSI AfterBurner 

คราวนี้เราจะเริ่ม OverClock กัน สิ่งแรกที่คุณต้องรู้คือ Algorithm ของเหรียญที่คุณกำลังขุด  ยกตัวอย่างเช่น Ethereum จะเน้นไปที่การทำงานของ Memory อย่างหนัก  ดังนั้น คุณต้องตั้งค่าบู๊ท Memory Clock เป็นหลัก และลด Core Clock ลงให้มากที่สุด สิ่งสุดท้ายคือ คุณ ต้องปรับ Power Limit ให้ต่ำที่สุด เพื่อประหยัดค่าไฟให้มากที่สุด  (ตรงนี้ จะมีตารางการ OverClock แจกคุณเต็มอินเตอร์เน็ตไปหมด)

สิ่งสุดท้ายที่ การ OverClock เน้นก็คือ การทำอุณหภูมิให้ต่ำ สิ่งนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญแทบจำที่สุดสำหรับการ OverClock การ์ดสำหรับขุด เพราะมันทำงาน 24/7   อุณหภูมิที่สูง นอกจากจะทำลายการ์ดแล้ว บางการ์ดจะลด Hashrate ลงมาเองอีกด้วย โดยเฉพาะ  การ OverClock Memory ที่ทำให้ Vram ร้อนเกินไป  ดังนั้น เราแนะนำให้ หลัง OverClock แล้ว ต้องมาตรวจสอบ HashRate ค่า Reject ใน Pool และ ความร้อนเสมอ (ปกติจะห้ามเกิน 70องศา)

แต่ตามที่เราบอกไว้ ถ้าคุณเป็ฯมือใหม่ ที่ ขี้เกียจศึกษา เราแนะนำให้ใช้ One Click Miner อย่าง 
Nicehash (จะมีโปรแกรมแบบง่าย NiceHash Miner ที่สามารถเลือกขุดเหรียญไหนก็ได้ หรือจะให้โปรแกรมเลือกเหรียญที่กำไรเยอะที่สุดเองก็ได้  กับ โปรแกรมแบบสุดง่าย(Quick Miner  ที่จะOverclock ให้เลย แต่ได้แค่เหรียญ  Ethereum เท่านั้น) 

BetterHash

อ่านมาถึงตรงนี้ เราแนะนำอีกนิด หากคุณคิดจะเริ่มขุด เดือนหน้า นั่นคือ ช้าเกินไปมาก แต่หากเริ่มขุดเสียแต่ตอนนี้ คุณแค่ขุดช้าไปหน่อยเดียว