Advertising

..

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2564

Mining 101 : Hash Rate

Hash rate คืออะไร

ก่อนจะไปเรียนรู้ว่า hash rate คืออะไร เราต้องเข้าใจการทำงานของ Mining ก่อน  อย่างที่อธิบายไปในหลายๆ บทความก่อน นั่นคือ การแก้ไขปริศนา ด้วยการสุ่มตัวเลข ถ้าคุณเดาตัวเลขถูกต้อง คุณก็จะได้รับเงินรางวัล

พื้นฐาน
Hashrate คือ ส่วนประกอบของ ฉันทามติ ด้วยการยืนยันการทำงาน หรือ ( Proof of Work ) แต่ประเด็นคือ มันเป็นการแข่งขันกันหลายคน ที่จะเป็นคนยืนยัน ของ  Transaction ใหม่ ใน บล็อกเชนใหม่ เพื่อยืนยันการทำงาน

ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า การยืนยันนั้นคือ ต้องหา ตัวเลขผ่าน ฟังก์ชั่นแบบ One Way ที่เราเรียกว่า Hash Funtion ซึ่งบางคนใช้ อัลกอริทึ่ม SHA256 (ง่ายๆ คือ มันคือ การ แปลงตัวเลข ด้วยการใช้กุญแจเพื่อใช้แปลกลับคืนมา)

นั่นคือ ฟังก์ชั่น มันมี Output รออยู่แล้ว แต่มันถูกซ่อนอยู่ เราจำเป็นต้องหา กุญแจ หรือ Input Information โดยที่เราไม่รู้เลยว่า Input data มันคืออะไร  แน่นอนว่า มันต้องเดาเท่านั้น  BitCoin จะเรียกมันว่า Nonce (เป็นจำนวนตัวเลข) โดยมันจะให้นักขุดแทนค่าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมัน Match กัน 

อะไรคือ Hashrate?
นักขุด จะต้องเดาตัวเลข Nonce (เป็นจำนวนตัวเลข) เพื่อหาให้ได้ว่า Output data เมื่อพวกเขาเดาถูก ก็สามารถสร้างบล็อกใหม่ได้   แต่ประเด็นคือ  จำนวนการเดาต่อ วินาที นั่นเอง ที่เราเรียกกันว่า hashrate 

ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ มีคนเดา 1,000,000  เลข ต่อวินาที นั่นคือ 1MegaHash per second (MH/s)  นั่นคือ การ์ด RTX3090 1 ใบ สามารถเดาตัวเลขได้ 115MH/s บน DaggerHashimoto อัลกอริทึ่ม Ethash นั่นเอง

ถึงตรงนี้ ต้องอธิบายอีกว่า แต่ละ อัลกอริทึ่มก็จะมีค่า Hashrate ที่แตกต่างกันออกไป เช่น KAWPOW หรือ Ethash 

ความยากในการเดา (Different) 
ประเด็นถัดมาคือ ความยาก หรือ Different หลายคนคงสงสัยว่า ระบบ หรือเน็ตเวิร์ก ของ BitCoin จะไปกำหนดความยาก ในการถอดรหัส เพื่ออะไร 

สิ่งแรกที่ระบบกำหนด คือ จะต้องสร้างบล็อกใหม่ ทุก 10 วินาที ซึ่งหากทั้งระบบ (นักขุดในระบบทั้งหมด )มี อัตรา Hashrate หรือเดา รวมกันได้ที่ 1000 เลขต่อ วินาที  ระบบหรือเน็ตเวิร์กจะต้องกำหนดความยากไว้ที่ 10000 เลขต่อวินาที เพื่อให้นักขุดใช้เวลา 10 วินาทีในการสร้างบล็อกใหม่ นั่นเอง   

ดังนั้น ค่าความยาก ก็จะสัมพันธ์ กับ hashrate ในระบบทั้งหมดนั่นเอง ไม่เช่นนััน ระบบจะออกบล็อกใหม่ที่เร็วกกว่าเดิมเสมอ


Mining 101 : PoS Vs PoW

Proof of Work vs Proof os Stake 

ประเด็นคือ ทำไมเราต้อง "ยืนยัน Proof " ในระบบเงินคริปโต แล้ว Proof of Work กับ Proof Of Stake แตกต่างกันอย่างไร

Proof of Work
เริ่มต้นเราจะมาเรียนส่วนประกอบสำคัญของ BlockChain นั่นคือ Proof of Work  เป็นการทำงานที่ป้องกันการ Double Spending (การจ่ายซ้ำ)

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า อะไรคือการจ่ายซ้ำ  เพื่อเข้าใจว่า ทำไมมันแก้ปัญหาการจ่ายซ้ำ ได้อย่างไร ง่ายๆ คือ เงิน คริปโตจำนวนเดียวกัน แต่สามารถจ่ายซ้ำได้มากกว่าหนึ่งครั้งนั่นเอง แน่นอนว่า มันผิดกฎหมาย   ในโลกความเป็นจริง เมื่อเราจ่ายเงิน(จริงๆ) ไปแล้ว เงินจะเป็นของคนอื่นไปแล้ว เราไม่สามารถเอามาจ่ายซ้ำได้อีก

ในอดีตเงินดิจิตอลก็เป็นแบบนี้  แต่เพราะมันยังเหลือความทรงจำใน Memory อยู่ (เหมือนกับ การ Copy Paste มันจะอยู่ในความจำอยู่) และ Proof of Work มาเพื่อแก้ปัญหานี้ คือ BlockChain จะมีเส้นเดียว หรือ Block ถัดไปมีแค่ Block เดียวเสมอ (ในอนาคตมีคนคิดค้น การแตก Block ได้สำเร็จแล้ว โดยที่ไม่มีการจ่ายซ้ำ)

มันป้องกันการจ่ายซ้ำอย่างไร
Proof of Work คือ การยืนยันธุรกรรม ของ BlockChain หรือที่เราเรียกกันว่า Mining หรือ การขุด

อย่างที่เราเน้นกันมาตลอด BlockChain คือ การ Distributerd Ledger (หรือการจดบันทึกบน Database แบบกระจายออก)  ตัว BlockChain จะกระจายออกไปตาม Node ทั่วโลก นั่นทำให้มันเป็นระบบ Decentralization และแต่ละ Node จะรับ Block ใหม่ เข้าไปเชื่อมกับ BlockChain เดิม

อย่างไรก็ดี จะมี Nodes บาง Nodes ที่จะใช้ทรัพยากรในการคำนวนได้คนแรก เพื่อสามารถเพิ่ม Block ใหม่เข้าไปใน Block เก่าได้ ก่อนจะส่งบล็อกใหม่ไปให้คนอื่น

หากเลือก Algo แบบ Proof of Work เรามาดูวิธีการเพิ่ม Block ใหม่เข้า BlockChain อย่างไร

ขั้นตอน สร้างบล็อกใหม่ 
เริ่มแรก นักขุดเหมือง จะต้องแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์แบบทางเดียว (Hash ใส่แบบ SHA256 สำหรับ BitCoin ) ให้สำเร็จก่อน โดยเมื่อแก้ปัญหาสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นเหรียญใหม่ หรือ ด้านการเงินอื่นๆ ด้วย โดยที่เมื่อแก้สำเร็จ ก็จะประกาศให้โหนดอื่นๆ รู้ กันทั่ว

สำหรับ Hash แบบ SHA256 คือ คุณสามารถรรับค่า Y จาก X ได้ แต่ไม่สามารถ รับค่า X จาก Y ได้ (ทำให้ถูกเรียกว่า One Way Function) โดยมันเรียกการ Hash นี้ว่า CryptoGraphy  ยกตัวอย่างเช่น BitCoin Wallet Address จะต้องมี Private Key จะต้องมี เพื่อใช้แก้ SHA256 ถึงได้ OutPut  

 ยกตัวอย่าง เราเอาคำว่า Nicehash มา Hash ด้วย Algo  SHA256 จะได้ 

D22df564d771ed4e6785029de215e9f9e2affe9bbe37bacc8544c32f0a162ba3

คำว่า Nicehash นี้ จะมี Private Key และ Output จะเป็น Public Key  สิ่งแรกคือ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ย้อนกลับโดยไม่มี Private Key หรือ Input Data (ต้องมีทั้ง 2 อย่าง)

จำไว้ว่า Sha256 มันสามารถใช้ได้แบบไร้ขีดจำกัด ของ Data แม้กระทั่ง Images

ถึงตอนนี้ นักขุดเหมืองจะมี Input Data มาแล้ว เหลือเพียง Private Key เท่านั้น ที่ไม่มีใครมี แต่นักขุดเหมืองจะต้องถอดรหัสออกมาให้ได้ คือต้องหา Private Key มาให้ได้นั่นเอง  แต่มันจะแก้ปัญหาด้วยการสุ่ม หรือเรียกว่า Nonce (เลขที่เป็นถูกสร้างไว้) เพื่อหา Output ที่ต้องการให้ได้

โดยปกติ Output จะเริ่มต้นด้วยเลข 000000 6 ตัว นักขุดจะต้องสุ่มค่าจนกว่าจะได้ OutPut  ที่มีเลข 0 6 ตัว 

เมื่อแก้ตัวเลขเสร็จ มันจะได้ Output ของบล็อกก่อน นำมาเชื่อมต่อเพื่อสร้างบล็อกใหม่เท่านั้นจบ

Proof of Stake 
ปัจจุบันมีบางเหรียญ เช่น Cardano(ADA) เป็นเหรียญยอดนิยมที่ใช้การยืนยันธุรกรรมด้วย Proof of Stake ขณะที่ Etherieum ก็กำลังจะเปลี่ยนจาก Proof of Work เป็น Proof of Stake ซึ่งเหรียญสัญญาว่า จะลดค่า Fee ลง และรักษาสิ่งแวดล้อมมากกว่า

ประเด็นคือ การยืนยันแบบ Proof of Stake คืออะไร  

Proof of Stake หรือ PoS คือ การยืนยันธุรกรรมบนระบบ BlockChain (ป้องกันการจ่ายซ้ำ)  และ เพื่อป้องกัน 51% Attacks  โดยที่แท้จริงแล้วยังคงใช้พลังการคำนวณในการแก้ปริศนา เพื่อยืนยันการทำธุรกรรม แต่มันกลับกันคือ ใช้ การถือ (Stake) ในการเรียงลำดับสิทธิ์ในการยืนยันการทำธุรกรรม(ถอดรหัส)

แนวทางการทำงาน  คือ มันไม่ใช่แย่งกันขุดเหมือง(แก้ปริศนา)  แต่มันเป็นการยืนยันการทำธุรกรรม โดยแต่ละ Node จะยืนยันแบบ สุ่ม โดย Networks

ย้อนกลับมา PoW นั้น นักขุดทุกคนจะพยายามแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เป็นคนแรก เพื่อจะแย่งกันรับรางวัล ทำให้มันใช้พลังงานอย่างมาก

แต่ Proof of Stake นั้นต่างกัน คือ เน็ตเวอร์ก จะสุ่มเลือก Node หนึ่งขึ้นมา (บนพื้นฐานของ Stake และปัจจัยอื่นๆ บางอย่าง)  เพื่อยืนยัน และสร้างบล็อก ใหม่  ยกตัวอย่างบางปัจจัย เช่น จำนวนการถือครองเหรียญ  (Stake) ที่ยิ่งถือครองมาก็ยิ่งมีสิทธิ์มาก  ขณะที่ ETH2.0 การจะเป็นผู้ยืนยันหลักได้จะต้องถือครองเหรียญ 32 ETH เป็นอย่างน้อย

ทำไมเราถึงเชื่อว่า ผู้ยืนยันจะไม่โกง เพราะ เขาถือเหรียญไว้เยอะนั่นเอง ถ้าเขายืนยันไม่ถูกต้อง เขาจะต้องสูญเสียเงินทั้งหมดที่เขา Stake 

จุดนี้เองที่ทำให้ PoW จะดึงดูดนักขุดจากทั่วโลกมาแย่งชิง การแก้ปริศนา แล้วแบ่งเงินรางวัลกันไป ขณะที่ PoS จะใช้ คนเดียว หรือกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียว ในการ ยืนยันธุรกรรม นั่นคือข้อได้เปรียบที่ทำให้ มันรักษาสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่ข้อเสียคือ มันเป็นระบบของนายทุน คือ คนยิ่งรวยและจะยิ่งรวยในระยะยาว ซึ่งสุดท้ายอาจเหลืออยู่ไม่กี่ Nodes เท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2564

Coin 101 : Raven Coin

Ravencoin (RVN)

Ravencoin ยังคงเป็นเน็ตเวิร์กแบบ P2P และอยู่บนพื้นฐานของ BitCoin โดยบุคคลที่อ้างชื่อเป็น Tron Black และ Bruce Fenton ได้เปิดตัว White Paper ที่รวมเอาข้อดีของ BitCoin และ Etherum มารวมกัน เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2018

โดยชื่อ Raven นั้น คาดว่า น่าจะนำมาจากซีรีย์เรื่อง Game of Thrones เนื่องจากในภาพยนตร์นั้นมี Raven เป็นการยืนยันความจริง เปรียบเสมือนกับ เหรียญ RavenCoin ในระบบ Block Chain ที่เป็นยืนยันการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน เช่นกัน 

แต่บางคนบอกว่า มันมาจากชื่อ ระบบขนส่ง ในนิยายชื่อ A song of Ice and Fire ที่จะใช้นกเป็นตัวขนส่งภายในทวีป มันจึงมีชื่อ และ สัญลักษณ์เป็นนก นั่นเอง 

กระบวนการสร้างเหรียญ RVN จะแตกต่างจากเหรียญ Crypto currency ทั่วๆไป คือจะถูกสร้างขึ้นตามกระบวนการ ICO  (Initial Coin Offering คำอธิบายคือ ตอนเริ่มต้น พวกคนสร้างเหรียญ (ตอนเริ่มต้นจะเรียกว่าเป็น เหรียญโทเคน(ที่อ้างอิงจากเหรียญอื่นมาก่อน)  เพราะยังไม่เป็นเหรียญเป็นตัวของตัวเองเลย)  แล้วก็ขายเหรียญโทเคนเหล่านี้ออก เพื่อระดมทุนมา สร้างเหรียญจริงผ่านคริปโตอื่นไปก่อน คนที่ซื้อเหรียญใหม่จะต้องมั่นใจใน มูลค่าเหรียญใหม่นี้และบริการต่างๆของเหรียญใหม่ว่าจะเติบโต )

แต่เหรียญ RVN ถูกสร้างขึ้นโดยกระบวนการ STO.(Security Token Offering จะเป็นการเสนอขายหลักทรัพย์มากกว่า) ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันในการสร้างแต่ละเหรียญ

จุดเด่นของเหรียญนี้ก็คือ ไม่มีเหรียญสำหรับผู้ก่อตั้งใดๆ ไม่มีใครได้สิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่นแต่อย่างใด และมีลักษณะเป็น Open Source อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ทุกคนไม่ว่าจะเป็น Dev หรือ ผู้ก่อตั้ง ก็ต้องเริ่มต้นขุดพร้อมๆ กับคนอื่นๆ อีกด้วย ถือว่าเป็นเหรียญที่แฟร์มากๆ

โดยวัตถุประสงค์ที่แรงกล้าแรกคือ พวกเขาต้องการยืนยัน ด้วยระบบ Proof of Work ที่ต่อต้านการใช้เครื่อง ASIC โดยเฉพาะ

โดยพวกเขาแยกตัวออกจาก BitCoin โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้

1. สร้างบล็อกใหม่ทุก 1 นาที ( BitCoin จะสร้างบล็อกใหม่ที่ทุก10 นาที ) 
2. เงินรางวัลสำหรับบล็อกใหม่คือ 5,000 RVN ในครั้งแรก โดยมกราคม ปี 2022 จะถูก Havling ลงมาอยู่ที่ 2,500 เหรียญ และเป็นแบบนี้ ทุกๆ บล็อกใหม่ 2,100,000 บล็อก)

3. อัลกอรึทึม เริ่มแรกพวกเขาเลือกที่จะใช้ X16R (แต่อัลกอนี้ มันไม่สามารถต่อต้าน ASIC ได้อีกต่อไปพวกเขาเลยเลือกที่จะเปลี่ยน X16Rv2) ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น KawPow (พฤษภาคม 2020) อย่างไรก็ดี มันยังคงได้รับอิทธิพลบางอย่างมาจาก X16R

 อัลกอรึทึมนี้ ผู้พัฒนาวางแผนมาเพื่อกำจัด เครื่อง ASIC ในสมัยนั้นให้ออกจากระบบ เนื่องจาก ตอนนั้นมีเครื่อง ASIC ที่ใช้ถอดรหัสสูงถึง 40% ในระบบ ทำให้ เจ้าของเครื่อง ASIC เหล่านั้นเริ่มมีอิทธิพลสูงต่อระบบ หรืออธิบายอีกอย่างว่า ไม่มีการกระจายอำนาจนั่นเอง

โดยมักจะใช้  KAWPOW ที่เป็นอนุพันธ์ของ ProgPOW ที่ต้องใช้พารามิเตอร์เฉพาะสำหรับ Ravencoin

4. เหรียญทั้งหมดจะมีทั้งหมด 21 พันล้านเหรียญ RVN ขณะที่ BTC นั้นจะอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น

จุดเด่นที่สุดของเหรียญ Raven ที่คนทั่วไปมักมองข้ามกัน ก็คือ มันสามารถจะแปลงเป็น โทเคน เพื่อใช้ยืนยันทรัพย์สินได้เช่นเดียวกับ ETH (ที่อยู่บนพื้นฐาน ERC-20 เช่นกัน)  และยังแปลงเป็น NFT (ทรัพย์สินที่ไม่ซ้ำกัน ตามมาตรฐาน ERC721 )เช่น ที่ดิน หรืออื่นๆ ได้นั่นเอง อย่าง รูปภาพ ลิขสิทธิ์ ต่างๆ ได้

ประเด็นสำคัญคือ มกราคม 2022 จะเกิดเหตุการณ์ Halving  คือลดเหรียญรางวัลการขุดลงจาก 5000 ลงเหลือ 2500 เหรียญ 

วิธีขุด  
สมัคร Binance 
Download Trex Miner หรือ Nano Miner มา
แก้ Bat จบ

RVN
1050Ti 4GB – 6.5 Mh/s;
1060 3/6GB – 9.5 Mh/s;
1070 8gb – 17 Mh/s;
1080 8gb – 27 Mh/s;
1080Ti 11gb – 34 Mh/s;
1660: CORE = -200, MEM = 1500, PWR = 70        16 Mh/s
1660Super: CORE = 0, MEM = -1004, PWR = 75  
1660Ti:          19 MH/s
2060 6gb    +120    +800                               – 20-21 Mh/s;
2070 8gb – 30 Mh/s;
2080 8gb – 31 Mh/s;
2080Ti 11gb – 38 Mh/s.
3070 Core: 1100 (absolute) Mem: 2600  PWR: 150W (card draws less)   30.80 MH/s