Advertising

..

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

Volkswagen Golf Mk3 : upgrade Brake

รวมความรู้เรื่องเบรค สำหรับ Volkswagen Golf Mk3 อัพเกรด ดังนี้

หากไม่รู้ว่า จานเบรคควรอยู่ที่ขนาดเท่าไหร่ เรามีรถยนต์ให้เทียบดังนี้

1. Jazz GD + City ZX  240mm
2. Yaris + Vios 2002-2015 (2 รุ่น)  255mm
3. Benz C200 W202  284mm
4. Civic FD Type R EP3 300mm
5. Accord Gen9  293mm

อย่างไรก็ดี คำแนะนำสำหรับมือใหม่ก่อนเลย คือ ต้องเข้าใจว่า หากคุณไม่ได้อัพเกรดเครื่องยนต์ การเปลี่ยนเบรคจานใหญ่ จะทำให้ ความแรงของเครื่องยนต์โดนลดทอนลงมา หรือเรียกว่า วิ่งอืดขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการแปลงใส่จานเบรคขนาดใหญ่กว่าเดิมมากๆ และต้องเปลี่ยนล้อที่ใหญ่ขึ้น อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับรถยนต์ทั่วไป และอีกอย่างคือ มันกินน้ำมันมากขึ้นด้วย

ขนาดสำหรับรถทั่วไป
ล้อ 15 ใส่จานได้ขนาดสูงสุด  280mm (ต้องวัดดวงจาก ก้านของล้อแม็คด้วย)
ล้อ 16  ใส่จานได้ขนาดสูงสุด 300mm (ต้องวัดดวงจาก ก้านของล้อแม็คด้วย)
ล้อ 17  ใส่จานได้ขนาดสูงสุด 328 mm  หากต้องการใส่จานขนาด 328 มากกว่านี้ ต้องทำอีกเยอะ เช่น เจียซุ้มล้อ เปลี่ยนโช็คแข็ง  (ไม่แนะนำให้ทำ เพราะจะทำให้ การดูแลรถ ลำบากมากขึ้น)

Volkswagen Golf Mk3 2.0
ขนาดมาตรฐานโรงงาน ประมาณนี้
หน้า
256mm(10.1") 13 mm 4x100
256mm(13") 20 mm  สูง 38 mm  เป็นแบบระบายอากาศมี 2 ชั้น (คาลิปเปอร์ รุ่น Girling 54 รุ่นจานชั้นเดียว) 4x100
VR6 280mm  22mm 5x100  (คาลิปเปอร์  รุ่น Girling 54 จะเห็นว่า ใช้จานขยายเท่านั้น แต่ขยายจาก 256 ไป288 เลย)
GTi 288mm (20) 22mm  5x100 (รุ่นนี้เปลี่ยน Caliper เป็น Girling 60) ที่สำคัญคือ ล้อต้องขนาด 16 นิ้วขั้นต่ำแล้ว

หมายเหตุ Girling ก็คือ Lucus บางทีเรียก Girling/Lucus นั่นเอง ส่วน 54 คือ กระบอกสูบปั้มเบรค ขนาด 54 mm เท่านั้นไม่ใช่ชื่อรุ่นที่แท้จริง โดยเฉพาะขนาด หรือ ผ้าเบรคก็แตกต่างกันออกไป

หลัง
239mm(10) 12 mm 4x100  เบรครุ่นนี้จะใช้มาตั้งแต่ Mk1 - Mk3 เลยทีเดียว
239mm(10) 20 mm 5x100  คาลิปเปอร์ทั้ง 2 รุ่นยังเป็นเหล็กหล่อ

ในไทยจะมี 2 รุ่นคือ รุ่น 239 กับ 256 mm 2 ชั้น แต่ รุ่นนี้ข้อเสียคือ ปั้มเล็ก และมีแค่ Pot เดียว เทคโนโลยีเก่ามาก เพราะใช้มาตั้งแต่ MkII (90-92) ที่สำคัญคือ ส่วนใหญ่ คาลิปเปอร์ เป็นเหล็กหล่อที่มีน้ำหนักมาก

ถ้าใช้จานรุ่น 256  สามารถอัพเป็น Mk4 ก่อนรุ่น Turbo หรือ รุ่นใหญ่ได้เลย แค่แปลงจานรู 5 รูให้เป็น 4 รู

Volkswagen Gofl Mk3 GTi
ขนาดจาก 288(25) 
Volkswagen Golf Mk3 VR6 จะใช้ Girling54 จานมีขนาด 10.1" แต่บางครั้งจะพบ 10.8-11.3" ข้อดีคือ แม้จะมี Pot เดียวแต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมา
ข้อดีของ การเปลี่ยน Hub เป็น VR6(280) แล้วคือ มันสามารถอัพเป็น Mk4 รุ่น 1.8T (288)ได้เลย

Volkswagen Corrado G60 11" (ถ้าจะใช้ต้องเอา Girling 54 calipers และตัวหิ้วจาก Corrado G60 มาด้วย ส่วนจานมัน 4 /100 อยู่แล้ว บางคนบอกว่า แค่เปลี่ยนจาน คาลิปเปอร์เดิม)

Volkswagen Golf MK4 , New Beetle Audi TT (Gen 1)  
จานจะมีตั้งแต่ 280(22) 288(25) 232 (11นิ้ว)(แต่ประเด็นคือมัน 5 รู 100)
โดยมีข้อดี สำหรับการอัพเกรดเบรค Mk3 คือ คาลิปเปอร์เบรคหลัง เป็นอลูมิเนียม และสามารถใส่แทนของเก่าได้เลย (แต่ความจริงคือ เบรคหลังของ Mk3 ขนาด 
239mm(10) 12-20 mm แต่เบรคหลัง Mk4 ขนาด 232 mm 9 mm แต่จะเห็นว่ามันเบากว่ามาก

แต่หากใครใช้ Mk4 อยู่เมืองนอกแนะนำให้อัพเป็นรุ่น 312mm เพราะแทบไม่ต้องแปลงอะไรเลย หาจานกับ คาลิปเปอร์มาเสียบแทนของเก่าได้เลย

VW Golf R32 | Audi TT 3.2 Quattro
หน้า  334 mm หนา 32 mm  คาลิปเปอร์  แบบคู่ 32+42mm (ต้องใช้ล้อขนาด 17 นิ้วขึ้นไปต้องไปลุ้นก้านแม็ คอีกต่างหาก)
หลัง 256 mm หนา 22 mm  ยี่ห้อ Lucas ลูกสูบเดี่ยว 38mm

Volk Golf GTi   Aniversery  V5   V6 (Audi TT Quattro 225hp ) 
ถือเป็นเป้าหมายของคนที่เปลี่ยนช่วงล่างเป็น  Mk3 VR6  แล้วกันเลยทีเดียว แต่ต้องใช้ล้อต้อง 17 นิ้ว
หน้า 312 mm 25 mm ยี่ห้อ Ate ลูกสูบเดี่ยว 54 mm (ล้อต้องมีขนาด 16 นิ้วขึ้นไป)
หลัง 256 mm 22 mm ยี่ห้อ Lucas ลูกสูบเดี่ยว 38 mm

รุ่นนี้ถือเป็นเป้าหมายของ Mk4 เลยทีเดียว แต่ที่นิยมกว่า คือ ต่างชาติเขามักจะเลือกใช้คาลิปเปอร์ของ Porsche Boxster 996 ที่มีขนาดจานเบรคเท่ากัน เพราะมันเป็นโมโนบล็อก ที่เบากว่ารุ่นแต่งของ Brembo เสียอีก  โดยมีขนาดลูกสูบ 36 กับ 40 (แต่ระวัง มันจะมีรุ่นที่ไม่ต้องแปลงกับรุ่นที่ต้องแปลง) 

Audi TT (180ม้า)
หน้า 312 mm(12.3) 25 mm ยี่ห้อ Ate ลูกสูบเดี่ยว 54 mm (ถ้า Volk Mk4 ต้องอัพเกรดรุ่นนี้ต้องเอาช่วงล่างบางส่วน โดยเฉพาะคอม้าจากรุ่น 1.8T มาด้วย)
หลัง 232 mm 9 mm ยี่ห้อ Lucas ลูกสูบเดี่ยว 38 mm

Volk Golf IV GTi 1.8T VR6 130-150 TDI V5 150
หน้า 288 mm (11.3)25 mm Ate ลูกสูบเดี่ยว 54 mm
หลัง 232 mm 9 mm

Volk Golf IV 2.0 8v TDI 
หน้า 280 mm (11.0) 22 mm  ลูกสูบเดี่ยว (ตัวหิ้วคาลิปเปอร์ ผสมเข้าไปใน Hub)
หลัง 232 mm 9 mm

Volk Golf 1.4 16V  8V
หน้า 256 mm(10.1) 22 mm  ลูกสูบเดี่ยว (ตัวหิ้วคาลิปเปอร์ ผสมเข้าไปใน Hub)
หลัง 232 mm 9 mm

Volkswagen Golf Mk5
Volkswagen Golf Mk5 GTi
 
หน้า จานขนาด  12.3"  4 Calipers ต้องล้อ 16 นิ้วขึ้นไป

Volkswagen Golf Mk5 R32 3.2L V6
หน้า จานขนาด 345 mm 22mm (มาพร้อมกับล้อมาตรฐาน 18 นิ้ว)
หลัง จานขนาด 310 mm 22 mm Bore Diameter 65

Audi TT Gen 2
 
หน้า จานขนาด 12.3" หลัง 11"  ประเด็นคือ ล้อต้องใหญ่กว่า 16 นิ้ว

Volkswagen Scirocco 
หน้า จานขนาด 330 mm คาลิปเปอร์ 4 Pot 


Volkswagen Golf Mk7 (1.0-2.0Td )
เบรคหน้า 272mm 10 mm (จานชั้นเดียว)  จะใช้ทั้งยี่ห้อ Ate และ TRW แล้วแต่ใครได้ยี่ห้อไหน 
เบรคหน้า 288mm 25 mm (จาน 2 ชั้น)
เบรคหลัง Ate

Volkswagen Golf Mk7 GTi  (2.0 Turbo 290 แรงม้า)
หน้า TRW 
หลัง 272mm Ate

Volkswagen Golf Mk7 GTi R (Audi S3 2.0 Turbo 300 แรงม้า)
หน้า TRW
หลัง 310mm Ate

KoolAuto : Carbon Fiber (CF) หรือ เส้นใยคาร์บอน

เริ่มแรก มือใหม่หัดซิ่งจะสงสัยว่า มันดีกว่าเดิมอย่างไร ? เริ่มแรก เราจะแนะนำว่า รถสปอร์ตในอดีต จะใช้ ไฟเบอร์กลาส (เส้นใยแก้ว Glass-Fiber) มาขึ้นรูป แล้วเสริมความแข็งแรง ด้วย เคฟล่าร์ หรือ เส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์นั่นเอง

ข้อดีคือ น้ำหนักที่เบา 


เราจะเรียงเทคโนโลยี ความเบา ไปตามนี้
1. Glass Fiber ในอดีต ถือเป็นวัสดุที่เบา และขึ้นรูปง่ายกว่า เหล็ก และ อลูมิเนียมอีก แถมยังไม่เป็นสนิมอีกด้วย ที่สำคัญสุดคือ ความจริงแล้ว หากเป็นการผลิตแบบจำนวนน้อย มันก็มีต้นทุนการสร้างที่ถูกกว่าอีกด้วย เพราะมันต้องการเครื่องมือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

มันเป็นที่นิยมมาก สำหรับรถสปอร์ตซุปเปอร์คาร์ในช่วงทศวรรษที่ 60 โดยเฉพาะการเอาไปสร้างเป็น Chasis โดยเฉพาะ Lotus Elite แต่ข้อเสียของมันคือ ข้อต่อต่างๆ และจุดยึดน๊อตที่ไม่ดีเท่าที่ควร และชิ้นส่วนต้องไม่มีแรงเค้นมากนัก

2. Carbon-Fiber  มันถูกใช้ครั้งแรกๆ ในอุตสาหกรรมการบิน และอวกาศ รวมถึง รถแข่ง เหตุผลเพราะมันมีอัตราส่วน ปริมาตรต่อน้ำหนักที่อยู่ในขั้นสูงเลยทีเดียว มันเริ่มเห็นตั้งแต่ Ferrari 288GTO และ Porsche 959 

Carbon Fiber จะมีลักษณะคล้าย ผ้าถักทอ (มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 5-10 ไมโครเมตร โดยประกอบไปด้วย อะตอมของคาร์บอนเป็นหลัก) โดยอีกด้านจะเป็นอลูมิเนียมฟอลย์ มันสามารถเอาไปแปะกับวัสดุได้หลากหลาย ด้วย Resin ทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง ด้วยความร้อน 120องศา และแรงดัน 90PSI  หลังจากเสร็จกระบวนการ คาร์บอนไฟเบอร์จะหลอมเป็นชิ้นดียวกัน 

ทุกวันนี้ รถยนต์ซูปเปอร์คาร์ ส่วนใหญ่จะใช้ Carbon Fiber เกือบทุกชิ้นแล้วที่ใช้ได้ (ใช้จนมากกว่าอลูมิเนียมอีก)

ประวัติของคาร์บอน ไฟเบอร์

มันเกิดมาตั้งแต่โลกเริ่มมีหลอดไฟ ใช่ โธมัส เอดิสัน เป็ฯคนนำเส้นไม้ไผ่ เผาไฟให้เป็นคาร์บอน เพื่อใช้สร้างไส้หลอดไฟครั้งแรกของโลก แต่มันมีส่วนผสมของคาร์บอน เพียง 20% เท่านั้น ต่อมาจึงมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามพัฒนา ให้เส้นใยคาร์บอนที่สูงขึ้นๆ 

จนในที่สุด ก็ใช้ เรยอน มาผลิต คาร์บอน ไฟเบอร์ ที่ได้สูงถึง 99% ตอนนี้มันมีความแข็งแรงเพียงพอ และยังมีแรงต้านแรงดึงที่สูงมาก และทนต่อสารคเคมี ที่ดีมากแล้ว ที่สำคัญคือ เมือ่เทียบกับน้ำหนัก มันเป็นวัสดุที่เยี่ยมเลยทีเดียว

แต่ในช่วงทศวรรษที่ 60 อุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเร่งพัฒนา การผลิตคาร์บอนไฟเบอร์จากผลิตภัณฑ์จากน้ำมันสำเร็จ แม้ว่าจะมีคาร์บอนเพียง 85% ก็ตาม แต่ต้นทุนการผลิตก็ลดลงอย่างมาก

ถัดมา ก็เริ่มมีการพัฒนา จนเป็นเบอร์ T400 (ทนแรงดึง 4000Mpa) Im600 (ที่ทนแรงดึง 6000Mpa) ซึ่งเป็นชื่อการตลาด ที่วัดกันที่แรงดึงของแต่ละบริษัทมากกว่า ปัจจุบัน แม้ว่าอุตสาหกรรมการบินจะใช้ที่ระดับ 10000Mpa แต่สำหรับอุตสากรรมรถยนต์แล้วจะใช้ทนแรงดึงกันที่ 5000Mpa เป็นหลักเท่านั้น

(ขออธิบายแบบนี้ครับ เนื่องจากมันเกิดจากอะตอมโมเลกุลเดี่ยวของ คาร์บอน ยิ่งทำให้มีขนาดเล็กเท่าไหร่ ก็ทนแรงดึงได้ดีเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น Im600 จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 5 ไมโครเมตรเท่านั้น นี่คือปัจจัยที่ทำให้ของดี กับของถูกต่างกันเล็กน้อย)

ถึงตอนนี้ในปี 2549 สิทธิบัตร คาร์บอนไฟเบอร์ก้เป็นของมูลนิธิมหาวิทยาลัยเทนเนสซี ซึ่งหมายความว่า ใครจะเอาไปใช้ก็ได้แล้ว

เคฟลาร์ คืออะไร
เคฟลาร์นั้น จะคล้ายกับ คาร์บอนไฟเบอร์ เกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะแรงต้านทานการดึงก็ใกล้เคียงกับ คาร์บอนไฟเบอร์ แต่มันกลับแข็งแรงน้อยกว่าคาร์บอนไฟเบอร์ อีกด้วย แต่ก็มีข้อทดแทน คือ มันยืดหยุนได้สูงกว่า คาร์บอนไฟเบอร์ (เหตุผลที่บอกว่า ใกล้เคียงกัน เพราะ ตามที่อธิบายไปข้างต้น คือ คาร์บอนไฟเบอร์นั้นมีหลายเกรด)

อย่างไรก็ดี เคฟลาร์นั้นจะมีส่วนประกอบของ อะตอมไนโตรเจน เข้ามาผสมด้วย และยังมีพันธะเคมของ ไฮโดรเจนอีกด้วย ทำให้ เคฟลาร์นั้นไม่ค่อยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่เริ่มต้นนั้น ผู้ผลิตก็ประกาศทันทีว่า เคฟลาร์ มันแข็งแรงกว่าเหล็ก 5 เท่า

ดังนั้น มันจึงไม่เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่กลับไปได้ดีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ มากกว่า ยกตัวอย่างเช่น เสื้อกันกระสุน หรือ ถุงมือนักบินอวกาศ  แต่เคฟล่าร์ มันก็ใช้ในเป็น เส้นใย สำหรับยางรถยนต์สำหรับแข่งขันอีกด้วย

น้ำหนัก
ส่วนใครที่มาบอกเด็กมือใหม่ว่า เคฟลาร์นั้นเบากว่า คาร์บอนไฟเบอร์ นั้น บอกเลยว่า ถูกหลอก แน่นอน เพราะความจริงแล้ว น้ำหนักของทั้ง 2 อย่างนั้น ไล่เลี่ยกัน แต่ไปวัดกันที่ใครเท เรซิ่น หรือ Epoxy หนากว่ากันมากกว่า