Advertising

..

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

df.to_sql(

 df.to_sql(

    name,# Name of SQL table.
    con, # sqlalchemy.engine.Engine or sqlite3.Connection
    schema=None, # Something can't understand yet. just keep it.
    if_exists='fail', # How to behave if the table already exists. You can use 'replace', 'append' to replace it.
    index=True, # It means index of DataFrame will save. Set False to ignore the index of DataFrame.
    index_label=None, # Depend on index. 
    chunksize=None, # Just means chunksize. If DataFrame is big will need this parameter.
    dtype=None, # Set the columns type of sql table.
    method=None, # Unstable. Ignore it.
)

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ประวัติ พระเครื่อง พระสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

ประวัติ สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

สมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี เกิดในรัชสมัยรัชการที่ 1  วันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น `15 ค่ำ ปี วอก หรือ วันที่ `17 เมษายน 2331 เวลาอรุณ ที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

นามเดิมชื่อ โต เมื่อบวชแล้ว ได้ฉายา พรหมรังสี ชื่อโต เนื่องจาก เมื่อวัยเยาว์ ท่านมีรูปร่างบอบาง จึงตั้งชื่อโต เพื่อเป็นสิริมงคล โยมมารดาชื่อ เกศ เดิมเป็นชาวท่าอิฐ อุตรดิตถ์  เมื่ออายุ 12 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดสังเวช จังหวัดอยุธยา (แต่บางเล่มว่า เป็นวัดสังเวชวิศยาราม วัดบางลำพูบน ต่อมาได้ย้ายมาศึกษาพระปริยัติธรรม ที่วัดระฆังโฆสิตาราม จังหวัดธนบุรี

ในปี 2350 ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าให้เป็นนาคหลวง อุปสมบท  ณ วัด พระศรีรัตนศาาสดาราม โดยพระสังฆราช (ศุข) แห่งวัดมหาธาตุ (เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 2 ของราชวงศ์จักรี)และได้รับฉายาว่า พรหมรังสี  ต่อมาได้รับการเลื่อนยศมาต่อเนื่องจนปี 2407 จึงได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพุฒาจารย์ องค์สำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

เป็นที่รู้กันว่า ระหว่างก่อนและหลังอุปสมบท นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือ รัชกาลที่ 1 นั้น ทรงเมตตา หรือแม้แต่ พระบาทสมเด็จกพระพุทธเลิศหล้านภาลัย หรือรัชกาลที่ 2 ก็ทรงเมตตายิ่งนัก (รัชกาลที่ 2 นั้นบวชเรียนปีเดียวกับ สมเด็จพุฒาจารย์(โต)) อย่างไรก็ดี รัชกาลที่ 3 หรือ พระบาทสมเด็จพระเนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ 4 ก็ทรงโปรดปราน นับถือสมเด็จพุฒาจารย์โต อย่างมาก

ย้อนกลับมาวัดระฆัง นี้ ครั้งสมัยกรุงธนบุรี เคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) จนปลายรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เนื่องจาก พระองค์เกิดวิปลาส ทำให้ วงการศาสนาต้องสั่นสะเทือน เรพาะ พระสังฆราชองค์นี้ถึงกับต้องพ้นจากตำแหน่ง ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุมาโลก ขึ้นครองราชย์จึงได้คืนสมณศักดิ์ฐานันดร ให้ดังเดิมอีกครั้ง

วัดระฆัง จึงเป็นวัดที่มีความสำคัญคือ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี โดยเมื่อ สมเด็จพุมาจารย์โต ได้ให้กำเนิดพระเครื่องสมเด็จจนได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน

เริ่มต้น
เชื่อกันว่า พระเครื่อง นี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านได้ครองสมณศักดิ์ เป็น สมเด็จพุฒาจารย์ แล้ว โดยกล่าวกันว่า ครั้งแรกนั้น ท่านได้สร้างขึ้นถึง 84000 องค์ ซึ่งเท่ากับจำนวนพระขันธ์พอดี และเชื่อกันว่า ในครั้งแรกนั้น มีการสร้างพระชุดนี้ถึง 73 พิมพ์ ในปี 2409 โดยพิมพ์เหล่านี้เชื่อว่า สร้างเสร็จหลังจากท่านเดินทางไปที่กำแพงเพชรมาแล้ว( 2392-2395)

โดยมีชื่อพิมพ์ดังนี้ พิมพ์นางพญา พิมพ์เม็ดขนุน พิมพ์สังกัจจายน์ พิมพ์ขุุนแผนไข่ผ่า พิมพ์พลูจีบ  โดยเชื่อว่า การสร้างพระครั้งแรกๆ นั้น ยังไม่มีมาตรฐานใดๆ แต่เชื่อว่า พระพิมพ์แปลกๆ ในชุดนี้มีอยู่น้อยมาก

ต่อมาจึงได้ยึดเอาแบบพิมพ์พระต่างๆ โดยได้ยึดถือเอาพิมพ์ พระสมเด็จอรหัง  ซึ่งเป็นแบฉบับแรกของสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) ผู้เป็นพระอาจารย์ของท่าน เป็นมาตรฐาน เป็นพิมพ์กรอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือที่ชาวบ้านเรียกขานว่า พิมพ์ขึ้นฝัก

ต่อมาเชื่อว่า มีการเปลี่ยนพิมพ์ โดยสมเด็จ ได้นายเทศ เป็นผู้แกะพิมพ์ถวาย ทำให้ได้พิมพ์ที่นิยมในปัจจุบัน คือ  พิมพ์ใหญ่ (ทรงพระประธาน) พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ฐานแซม พิมพ์ เกสบัวตูม  พร้อมกับกล่าวกันว่า อาจมีพิมพ์ ปรกโพธิ์ อีกพิมพ์หนึ่งด้วย (มาตรฐานในปัจจุบัน พิมพ์ปรกโพธิ์ ไม่ถูกจัดอยู่ในระดับมาตรฐานเหมือน 4 พิมพ์ข้างต้น)


อีกตำนานนั้น ระบุว่า เดิมสมเด็จ ได้ดำริ ให้ช่างทางบ้านช่างหล่อ ทำแม่พิมพ์ขึ้น ครั้นพอผู้ศรัทธาต่างก็ไปทำพิมพ์มาถวาย ทำให้พระสมเด็จครั้งแรกนั้นมีหลายพิมพ์ โดยกล่าวว่า สมเด็จนั้น เมื่อฉันกล้วยเสร็จ จะเก็บเปลือกไว้้ เอาดินสอเหลืองก้อนใหญ่มาเลื่อยให้เป็นผง ผสมกับเปลือกกล้วย แล้วราดบางๆ ด้วยน้ำผึ้งบ้าง น้ำอ้อยเคี่ยวบ้าง และให้ นายน้อยเป็นคนกดพิมพ์  โดยชุดแรก 100 องค์นั้น สมเด็จท่านเก็บไว้สำหรับชาววังที่มาบิณฑบาตร

มีส่วนผสมดังนี้ ผง ปถมัง อิทธิเจ มหาราช พุทธคุณ และตรีนิสงเห และส่วนผสมของข้าวสุก ดินสอพอง กล้วย ปูนขาว และเกสรดอกไม้ 108 อย่าง กับเศษอาหารคลุกๆ ด้วยน้ำมันตังอิ้ว เพื่อประสาน

ในวงการพระเครื่องยืนยันตรงกันว่า ท่านได้สร้างพระตามวัด เพียง 3 วัดนี้เท่านั้น
1 วัดระฆังโฆสิตาราม (ธนบุรี)  สร้างครั้งแรก พิมพ์นิยมสี่เหลี่ยมมาตรฐาน (2407-2414) โดยท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ ปัจจุบัน สมเด็จวัดระฆัง ถือเป้นพระเครื่องที่มีพุทธคุณมากที่สุด และยังจัดว่า เป็นวัตถุโบราณที่สำคัญของชาติเนื่องจากอายุเกินกว่า 100 ปีแล้ว

2 วัดใหม่อมตรส หรือ บางขุนพรหม (พระนคร) สร้างพระเครื่องช่วงปี 2513)  โดยมีเสมียนตราด้วง (บางคนว่า เสมียนตราเจิม) เป็นผู้นิมต์ ท่านเจ้าคุณสมเด็จไปเป็นประธานในพิธีสร้าง พระสมเด็จบางขุนพรหม  แล้วนำไปบรรจุไว้ยังพระเจดีย์ใหญ่ของวัด แต่มีผู้ลักลอบ ตก พระ ออกมาหลายครั้ง โดยพระที่ออกมาจากกรุรุ่นแรก เรียกว่า พระกรุเก่า ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก จนกระทั่ง ปี 2500  ทางวัดจึงได้เปิดกรุนำพระเครื่องออกมาจนหมดสิ้น โดยครั้งนี้เรียกว่า พระกรุใหม่

3 วัดไชโยวรวิหาร (อ่างทอง) เป็นพระเครื่องที่สร้างก่อนวัดระฆัง (2390-95)  โดยเชื่อว่า ท่านได้สร้างพระเครื่องที่เรียกว่าพระสมเด็จเกศไชโย นั้น เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศล แก่โยมมารดา และตาของท่าน แต่ในปี 2430 มีปารกปฎิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่ พระชุดนี้จึงได้แตกกรุออกมาในช่วงนั้นเอง

อีกตำนานระบุ ก่อนสมเด็จพุฒาจารย์จะเสียชีวิต ท่านได้สร้างพระมาส่วนหนึ่งแล้ว จึงได้เรียก  นายเทศ คือหลานของท่าน อยู่ที่บ้านดินสอ หลังตลาดขมิ้น ได้รับคำสั่งเสียก่อนที่ท่านจะมรภาพว่า ให้เอา พระที่ท่านสร้าง และให้นายเทศ สร้างพระเพิ่มให้ครบ 84000 องค์ แล้วนำไปบรรจุที่เจดีย์วัดเกศไชโย จังหวัดอ่างทอง ดังนั้น กรุที่วัดเกศไชโย จึงเป็นรูปสมเด็จ ชนิดฐาน 7 ชั้น เป็นส่วนมาก

โดยเตือน คนในวงการตลาดพระว่า พระที่ไม่ปรากฎหลักฐาน และพิมพ์ไม่เป็นที่นิยมในวงการ ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่เกินไป หรือ มีขนาดหรือเล็กเกิดมาตรฐาน หรือเนื้อไม่ถึง พิมพ์ผิด  แม้จะมีโอกาสเป็นพระแท้ แต่ตลาดไม่เป็นที่ต้องการ ขณะที่พระสมเด็จวัดระฆังนั้น ไม่ใช่พระกรุ จึงต้องไม่มีคราบกรุ หรือดิน จับตามผิว อย่างสมเด็จบางขุนพรหมที่เป็นพระกรุ

อย่างไรก็ดี พระเครื่องสมเด็จนั้นทำปลอมมาตั้งแต่ ท่านยังมีชีวิต และท่านก็ไม่ได้ทำแจกหรือพิมพ์ออกมาให้เช่าอย่างทุกวันนี้ ท่านจะมอบให้เฉพาะคนที่ท่านเห็นสมควรเท่านั้น จึงให้ ดังนั้น บุคคลใดแม้จะได้รับมรดกมาก็ตาม ของชิ้นนั้นอาจไม่ใช่ของแท้ก็ได้

ราคาสมเด็จวัดระฆัง
โดยสมัยที่สนามพระยังอยู่ขอบสนามหลวง พระสมเด็จวัดระฆังยังมีราคาเช่าเพียง 10 บาท  โดยยุคนั้น พระกิ๋มตึ๋ง ยังมีราคาเช่าแพงกว่า อย่างไรก็ดี ยุคนั้น หากไม่ใช่คนมีฐานะแล้ว แม้พระจะมีค่าเช่าเพียง 1 บาทก็ถือว่า ราคาสูงมากแล้ว   ในปี 2485 ราคาพุ่งขึ้นไป ถึงองค์ละ1500-2000 บาท ยุคนี้เองที่พระปลอมเริ่มรุ่งเรืองอย่างมาก  ถัดมาปี 2505 ราคาเช่าก็ไปถึง  7000-10000 บาท ถัดมาไม่กี่ปี คนในวงการพระเครื่องก็ปิดประตู ที่ได้เห็นพระสมเด็จแท้ๆ เพราะพระสมเด็จแท้ๆ ส่วนใหญ่อยู่ในมือคนที่มีฐานะหมดแล้วทั้งสิ้น โดยราคาในปี 2509-2510 ก็พุ่งไปเกิน 30000 บาท พอราคาปี 2514 ก็พุ่งไปเกินแสนเลยทีเดียว และครั้งนี้เอง ถือเป็นการปิดประตูสำหรับ เซียนพระที่หวังจะเจอ คนที่ไม่รู้เรื่องพระครอบครอง พระสมเด็จแท้อีกต่อไป และไม่มีทางที่ท่านจะได้พระสมเด็จแท้ๆ ในราคาหลักร้อย หรือพัน อีกต่อไป เพราะพระทั้งหมด ถูกย้ายไปอยู่ในคนที่มีฐานะทางการเงินหมดแล้ว

ต้องเน้นกันอีกครั้งว่า พระสมเด็จ ที่มีขนาดองค์โตกว่าปกติ  ที่หลายคนเชื่อว่าแท้  แม้ว่าจะเป็นพระสมเด็จพิมพ์พิเศษ ตามที่กล่าวไปข้างต้นนั้น แต่ในวงการพระเครื่องไม่นิยม และพระสมเด็จ นั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก  แม้จะเป็นพระหัก ก็ยังมีราคาเช่ากันหลายพัน หลายหมื่นบาท และก็มีผู้นำพระหักเหล่านั้นไปแกะสลักใหม่ เพื่อใช้ห้อยคอ  แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ การนำเศษพระเก่าในยุคเดียวกัน มาผสมใหม่ ด้วยวิธีการใช้น้ำมันหรือน้ำผึ้ง เป็นตัวผสานใหม่ ซึ่งการจะดูเนื้อจึงต้องมีการสังเกตที่เนื้อผิวเพิ่มอีก เช่นหากผิวแห้งมากก็อาจเป็นพระปลอมพิมพ์นี้ด้วย

พุทธคุณพระสมเด็จ
ประโยคที่ว่า “ถ้าใครมีพระสมเด็จติดตัวอยู่ จะไม่มีการตายโหงเกิดขึ้นเป็นอันขาด” ในปี 2507  มีนักเลงพระชือ วันชัย ถูกยิงเผาขน พรุนไปทั้งตัว ร่างกายได้รับบาดแผลฉกรรจ์ แต่ปรากฎว่า นักเลงผู้นั้น ยังมีชีวิตอยู่ดูโลกต่อไปได้

นอกจากนี้ หากใครรับราชการ ก็มักจะโชคดีได้เป็นคนระดับหัวหน้า และหากเป็นเศรษฐีก็จะได้เป็นมหาเศรษฐี จนทุกคนเชื่อว่า หากผู้ใดมีพระสมเด็จ ผู้นั้นหวังประสงค์สิ่งใด ก็มักได้ผลตามที่จิตปรารถนา ไว้ทุกประการ

สมเด็จบางขุนพรหม
สมเด็จวัดใหม่บางขุนพรหม หรือ สมเด็จบางขุนพรหม ถือว่า มีราคาด้อยลงบ้าง แต่พุทธคุณไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน โดยเริ่มต้นจากเสมียนตราด้วง หรือ เสมียนตราเจิม บิดาของพระอักษรสมบัติ บ้านบางขุนพรหม ได้สร้างเจดีย์วัดองค์ใหญ่ขึ้นเพื่อใช้บรรจุอัฐิของวงศ์สกุล และได้วางแผนสร้างพระพิมพ์เป็นจำนวนมากเพื่อบรรจุไว้ใน พระเจดีย์ จึงได้ไปขอผงทำพระจากพระสมเด็จ มาหนึ่งบาตร จากนั้นเอาผงคลุกเคล้ากับปูนขาว และน้ำมัน โขลกต่อนหน้าสมเด็จพุฒาจารย์ ที่นิมนต์ไปฉันเพลที่วัด อินทราวิหาร เมื่อเสร็จพิธี ก็นำพระทั้งหมด บรรจุในเจดีย์วัดใหญ่ที่สร้างขึ้นทั้งหมด โดยเข้าใจว่า สร้างราวปี 2411-2413 ขณะที่วัดอินทรวิหาร ไม่ได้มีการสร้างพระเครื่องโดย พุฒาจารย์ โต เลย มีแค่ พระพิมพ์สมเด็จที่สร้างโดยหลวงปู่ภู และพระสมเด็จรุ่นหลังที่สร้างโดย เผ่า ศรียานนท์ เท่านั้น)

ในปี 2411 ต้นตระกูล ธนโกเศศ คือ เสมียนตราด้วง ได้ทำการปฎิสังขวร์วัดครั้งใหญ่ พร้อมได้สร้างเจดีย์องค์ใหญ่ที่วัดใหม่อมตรส และได้นิมนต์ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จ ไปทำพิธีสร้างพระสมเด็จ ที่วัดอินทรวิหาร เป็นจำนวนพระถึง 84000 องค์ เมื่อพิธีสร้างเสร็จสิ้น พระทั้งหมด จึงได้บรรจุลงในเจดีย์องค์ใหญ่ ที่วัดใหม่อมตรส

ทำให้มีการเจาะเจดีย์ แล้ว ตกพระ (คือไม่ต้องเข้าไปในเจดีย์) ทำให้พระสมเด็จส่วนหนึ่ง เชื่อว่านับพันองค์ถูกตกออกมา หลายพันองค์ โดยในปี 2436 ที่เกิดฝรั่งเศสนำเรือรบมาปิดอ่าวไทย ทำให้ผู้คนกลัวสงครามจึงได้เสาะแสวงหาพระเครื่องเป็นการใหญ่  ทำให้มีการตกพระรอบสอง โดยครั้งนี้มีพระหลุดจากกรุมานับหมื่นองค์

และยังทำให้ชำรุดเสียหายอีกประมาณ 50%

ครั้งที่ 3 `ในปี 2449 นับเป็นการตกพระกรุครั้งยิ่งใหญ่ ผู้คนต่างแห่ไปตกพระ
ครั้งสุดท้ายนี้ นักตกพระต่างเอาน้ำเทเข้าไปในเจดีย์ แล้วตกพระ ทำให้พระหักเสียหายเกือบหมด ทำให้เจ้าอาวาสไม่พอใจ สั่งเทปูนปิดรูเจดีย์ทั้งหมด

โดยทั้งหมดเรียกพระกรุเก่า

ช่วงสงครามโลกคร้งที่ 2 นี้ นักตกพระ เอาอีกครั้ง ครั้งนี้นักตกพระเจาะเจดีย์ทำให้เจดีย์เป็นรูใหญ่ ครั้งนี้เอง ที่นักตกพระได้พระไปเป็นปี๊ปเลยทีเดียว และทำให้วัดต้องมีการเฝ้าเวรยามตลอด 24 ชั่วโมง และทำให้คณะกรรมการวัด มีมติเปิดเจดีย์ เพื่อนำพระมาปล่อยเช่า เป็นการบำรุงวัด  เพื้อป้องกันการกระทำของพวกมือตกพระ ครั้งนั้นได้เชิญ ประภาส จารุเสถียรมาเป็นประธานเปิดกรุ ต่อหน้าประชาชน โดยทางวัดได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ได้พระ 2950 องค์  โดยเศษที่แตกหัก ทางวัดได้เก็บรักษาไว้ และนำมาผสมในพิธีฝังทองลูกนิมิต โดยพระที่สภาพสมบูรณ์ ทางวัดจะตีตราเจดีย์ด้านหลังพระสมเด็จทุกองค์ เพื่อยืนยันว่า พระชุดนี้ไม่ใช่ของขโมยออกจากวัด แต่ที่เจ็บใจก็คือ พระที่เปิดในครั้งนั้นกลับเก๊เกือบทั้งหมด

ทำให้วงการพระ เชื่อกันว่า ในตกพระครั้งสุดท้ายนั้น ไม่น่าจะมีพระแท้เหลือยู่แล้ว ดังนั้นการเปิดกรุในปี 2500  นั้นไม่น่ามีพระแท้เหลือยอยู่แล้ว จะมีก็แต่พระหักเท่านั้น  นอกจากนี้ ทางวัดประกาศว่า มีพระเพียง 2590 องค์ในครั้งแรก เพียงแค่วันแรกก็มีผู้ศรัทธาไปจองนับหลายพันคน แต่ยังคงมีจำหน่ายเรื่อยมาจนถึงปี 2511 นับเป็นเวลา 10 ปี เลยทีเดียว

นั่นเองทำให้พระกรุเก่าใน พิมพ์สมเด็จบางขุนพรหม นั้น นิยมในพระกรุเก่ามากกว่า กรุใหม่ราคาห่างกันถึง 30 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว และมีถึง 9 พิมพ์

และพระสมเด็จบางขุนพรหมนี้ถือว่า เป็นพระที่มีการทำเลียนแบบมากที่สุด ในตลาดพระเลยทีเดียว

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง บางขุนเทียน

วัยเยาว์
หลวงพ่อไปล่ ท่านเป็นชาวบางขุนเทียน เกิดในปี 2403 ในรัชกาลที่ 4 ในสกุลทองเหลือ พื้นเพเป็นชาวบ้าน ตำบลบางบอนใต้ เขตบางขุนเทียน เป็นบุตรของนายเหลือและนางทอง มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน 5 คน

ในเยาว์วัยได้เรียนหนังสือไทยและหนังสือขอม กับอาจารย์ทัด วัดสิงห์ เมื่อเป็นฆราวาสท่านเป็นคนมีร่างกายแข็งแรง มีจิตใจกล้าหาญ เป็นคนกว้างขวาง มีสมัครพรรคพวกมาก ซึ่งในยุคนั้นบ้านบางบอนเป็นดินแดนของนักเลงหัวไม้ เวลามีงานวัดยกพวกตีกันเป็นประจำ นายไปล่จึงนับว่าเป็น ลูกพี่ของคนในหมู่บ้านนั้น

บรรพชา

ต่อมาอายุ 23 ปี ท่านอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดกำแพง อาจารย์ทัด วัดสิงห์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อพ่วง วัดกก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อดิษฐ์ วัดกำแพง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีนามฉายาว่า “ฉันทสโร” หลวงพ่อไปล่เมื่อวัยหนุ่ม ท่านมีความสนใจในทางวิชาอาคม โดยได้เดินทางไปเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น เรียนทางคงกระพันชาตรีกับพระอาจารย์คง เรียนวิชาผูกหุ่นพยนต์กับหลวงพ่อหรุ่น วัดบางปลา เรียนทางเมตตามหานิยมกับหลวงพ่อพ่วง วัดกก เรียนทางสักยันต์คงกระพันกับหลวงพ่อดิษฐ์ วัดกำแพง

ท่านสามารถสวดปาติโมกข์ได้ตั้งแต่บวชได้พรรษาที่ 2  ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ในเขตบางขุนเทียน และเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือของผู้คนในละแวกบางขุนเทียนเป็นอย่างมาก จนถึงมรณะภาพเมื่อพุทธศักราช 2489

เรื่องเล่าขาน
เป็นเรื่องเล่าของคุณ เป็งย้ง ตลาดพลู ได้เล่าว่า มีพ่อค้าปลาคนหนึ่งมาจากบางบอน (ชื่อนายประเสริฐ) นำปลามาขายที่ตลาดพูล เป็นประจำทุกอาทิตย์ ตัว “นายเสริฐ” ใส่สายสร้อยทองเส้นใหญ่ เห็นได้สะดุดตา เมื่อมาเป็นประจำ ผู้คนจึงจำได้และรู้วัน-เวลาที่มา

วันหนึ่งมีคนร้ายสองคนมาดักจี้ด้วยปืน แกไม่ยอมถอดสร้อยให้และขัดขืน คนร้ายได้ยิงออกมาสองนัดแต่ยิงไม่ออก แกจึงเอามีดสำหรับทำปลาจะเข้าไปฟัน คนร้ายเห็นท่าไม่ดี รีบหนีข้ามคลองไป เรื่องนี้มีชาวตลาดพลูรู้เห็นกันอยู่มาก ปรากฏว่าพระที่อยู่ในสายสร้อยก็คือเหรียญหล่อหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง

พระพุทธคุณของเหรียญหล่อของหลวงพ่อไปล่ท่านจึงขึ้นชื่อในเรื่องมหาอุด คงกระพันชาตรี และเมตตามหานิยม เป็นที่นิยมของผู้คนในย่านบางบอน บางขุนเทียน มีเรื่องเล่าขานกันอยู่มาก ว่ากันว่าหากคนวัดกำแพงมีเหรียญวัดหนังแล้ว ถ้าใครมีเหรียญหลวงพ่อไปล่ไปขอแลกเขาจะยอมแลกทันที ที่เป็นความนิยมของเหรียญหลวงพ่อไปล่ซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณ

วัตถุมงคล
การสร้างพระเครื่อง  มี 3 ครั้ง

ครั้งแรก  ด้วยทางวัดขาดแคลนน้ำดื่มเป็นประจำทุกปี แม้ว่าจะมีตุ่มน้ำมากพอสมควรก็ตาม แต่ไม่พอให้พระเณรและเด็กวัดใช้ดื่มกินได้ตลอดปี จำเป็นต้องเอาเรือขนาดใหญ่ไปบรรทุกน้ำจืดจากคลองบางขุนเทียนเอามาใช้ดื่มกินกันในฤดูแล้ง ทั้งไม่มีความสะอาดมากนัก คณะกรรมการของวัดจึงคิดสร้างถังน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่สักลูกหนึ่ง เพื่อไว้ใส่น้ำฝน พวกคณะกรรมการขอให้หลวงพ่อสร้างพระเครื่องแจกแก่ผู้ที่มาบริจาคเงินสร้างถังน้ำเป็นการสมนาคุณ นอกจากบุญกุศลอีกส่วนหนึ่งด้วย ในการสร้างพระเครื่องครั้งนั้นได้มีการเรี่ยไรทองเหลืองทองแดง ทองลงหิน จากบรรดาลูกศิษย์ และผู้ที่เครารพนับถือหลวงพ่อ ผู้ที่มีข้าวของเครื่องใช้ที่ชำรุดเสียหายใช้การไม่ได้แล้วเช่น ขันน้ำ ขันตักบาตร ถาด พาน ฯลฯ ต่างก็พากันเอามามอบให้แก่คณะกรรมการ เพื่อจัดการหล่อหลอมทำพระเครื่องต่อไป การจัดทำพระเครื่องครั้งแรกนั้นได้มีการออกแบบทำพิมพ์เป็น ๓ แบบด้วยกันคือ

๑. แบบซุ้มประตูโบสถ์ ซึ่งในเวลานั้นซุ้มประตูโบสถ์และวัดกำแพงยังชำรุดเสียหาย เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านบนโค้งมน (ซุ้มประตูและกำแพงที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้เพิ่งสร้างขึ้นใหม่) ด้านหน้ามีรูปหลวงพ่อไปล่ นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในซุ้มประตู ด้านหลังมีข้อความว่า “ที่ระฤก ๒๔๗๘” แบบนี้จัดทำให้ใหญ่กว่าแบบอื่นๆ จุดประสงค์เพื่อแจกให้กับผู้ชาย มีบางคนที่ไม่รู้ที่มาของแบบมักจะเรียกว่าแบบจอบ หรือ รุ่นจอบ เป็นการเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง มีนายพุ่ม อ่อนทรัพย์ เป็นผู้แกะแบบและควบคุมการเททอง ตบแต่งให้เรียบร้อย ได้พระไว้จำนวนหนึ่ง

๒. แบบรูปไข่ มีรูปหลวงพ่อไปล่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางขอบด้านหน้า ส่วนด้านหลังมีข้อความว่า “ที่ระฤก ๒๔๗๘” และแบบ "ด้านหลังเป็นรูปเจดีย์" แบบนี้จัดทำขึ้นเพื่อเอามาแจกสุภาพสตรี นายประดิษฐ์ (ไม่ทราบนามสกุล) ท่านผู้นี้เป็นช่างก่อสร้างทำถังน้ำ เป็นผู้แกะแบบเททองและตบแต่งให้เรียบร้อย ได้พระไว้จำนวนหนึ่ง

๓. แบบใบเสมา ด้านหน้ามีรูปหลวงพ่อไปล่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน ด้านหลังมีตัวหนังสือขนาดเล็กมาก อ่านไม่ใคร่เห็น จัดทำขึ้นเพื่อแจกเด็กๆ มีพระเพิ่ม จันทร์เขียว (ขณะนั้นยังบวชอยู่) เป็นผู้แกะแบบควบคุมการเททอง และตบแต่งให้เป็นที่เรียบร้อยแบบนี้ทำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

พระทั้ง ๓ แบบ ที่กล่าวมาแล้วเป็นพระรุ่นเดียวกัน หลวงพ่อไปล่ ท่านเป็นผู้ปลุกเสกแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น หลวงพ่อไม่ได้นิมนต์เกจิอาจารย์จากวัดหนึ่งวัดใดมาร่วมแม้แต่รูปเดียว ท่านเอาพระทั้งหมดประมาณค่อนบาตรเท่านั้นเอง ท่านสมนาคุณแก่ผู้ที่บริจาคเงินสร้างถังน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กไม่ว่าใครจะบริจาคมากน้อยเท่าใด และจะได้ไปเพียงคนละองค์หรือสององค์เป็นอย่างมาก

การสร้างพระเครื่องครั้งที่ ๒ เนื่องจากปี พ.ศ. 2485 เกิดอุทกภัย น้ำท่วมมาก โรงเก็บศพในสุสานของวัด ถูกพายุคลื่นลมซัดเสียหายมาก ทั้งมีศพฝากเก็บไว้จำนวนมาก บางศพไม่มีญาติ บางศพมีญาติแต่ยากจนมาก ไม่สามารถที่จะเผาให้ถูกต้องตามประเพณีได้ตามลำพังตนเอง บางศพก็ฝังอยู่เป็นเวลาช้านานมาก ด้วยเหตุผลดังกล่าว คณะกรรมการของวัดจึงคิดจะทำการล้างป่าช้า และจัดการสร้างสุสานขึ้นมาใหม่แทนของเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมมาก แต่ว่าการก่อสร้างจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก คณะกรรมการจึงได้กราบเรียนหลวงพ่อ ขอให้ท่านจัดทำพระเครื่องสมนาคุณแก่ผู้ที่นำเงินมาช่วยในการล้างป่าช้า และปลูกสร้างสุสานใหม่

เนื่องจาก เป็นเรื่องฉุกละหุก ครั้นเวลากำหนดงานล้างป่าช้าเข้ามามากแล้ว จนไม่มีเวลาที่คิดจะออกแบบและทำแบบได้ทัน มีคณะกรรมการคนหนึ่งเสนอให้ขอยืมแบบของ อาจารย์รุ่ง วัดท่ากระบือ จังหวัดสมุทรสาคร มาเป็นแบบ ซึ่งเป็นรูปหน้าตัดโบสถ์ในพุทธศาสนาหรือจะพูดว่าแบบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นฐาน แล้วต่อด้วยสามเหลี่ยมหน้าจั่วด้านบน มีพระพุทธรูปนั่งอยู่ตรงกลาง ด้านหลังมียันต์ ๔ พระเครื่องรุ่นนี้เรียกกันว่า “รุ่นล้างป่าช้า” ซึ่งเป็นแบบที่ซ้ำกับแบบของวัดท่ากระบือ จนไม่สามารถจะบอกได้ว่า พระเครื่ององค์ใดเป็นของวัดท่ากระบือและองค์ใดเป็นของวัดกำแพง นอกจาก ผู้ที่เป็นเจ้าของเท่านั้น จึงจะบอกได้ถูกต้องตามความเป็นจริง พระเครื่องรุ่นล้างป่าช้า หลวงพ่อไปล่ปลุกเสกแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระเครื่องรุ่นนี้ทำค่อนข้างมากกว่ารุ่นแรก

การทำพระเครื่องครั้งที่ ๓ ในวันเข้าพรรษา ปี พ.ศ. 2487 ทางวัดจัดให้มีการหล่อเทียนเข้าพรรษาในตอนบ่าย หลังจากหล่อเทียนเสร็จแล้วผู้คนที่มาทำบุญ ต่างก็กลับบ้านกันหมดแล้ว หลวงพ่อได้เรียกผู้เขียนกับนายชอบ สังข์คุ้ม ให้ไปเอาใบลานซึ่งเขียนด้วยอักขระทั้งขอมและไทย ท่านมัดเอาไว้หลายสิบมัดด้วยกัน ท่านให้เอามาเผาที่เตาไฟหล่อเทียนความจริงผู้เขียนได้เห็นแล้วหลวงพ่อนั่งอ่านใบลานเหล่านี้มาหลายวันแล้วก่อนเข้าพรรษา แต่ไม่ทราบว่าท่านอ่านทำไม หลวงพ่อให้เผาใบลานในกระถางมังกร คือเอาใบลานจุดจากเตาเผาที่หล่อต้นเทียนเข้าพรรษาพอไฟลุกจึงนำใบลานที่ติดไฟใส่ลงไปในกระถางมังกรแล้วรีบเอากระถางที่ทำด้วยไม้สักปิดทิ้งระยะไว้เล็กน้อยจึงเปิดฝาออก ถ้ายังเหลือใบลานอยู่อีก ก็เอาคีมคีบจุดไฟแล้วใส่กระถางซ้ำอีก ได้เผาอยู่นานจนเกือบมืดจึงเผาเสร็จเรียบร้อย ได้เถ้าถ่านในใบลานเกือบครึ่งกระถางมังกร

งานศพ
ครั้นถึงเวลา ๒๒.๐๐ น. ตามกำหนดเวลาประชุมเพลิงเผาจริง พระสงฆ์จากวัดต่างๆ ลูกศิษย์ ผู้ที่เคารพนับถือในคุณความดีของหลวงพ่อไปล่ ต่างพากันขึ้นเมรุเผาศพหลวงพ่อไปล่ไม่ขาดสาย เนืองแน่นไปหมด ดอกไม้เทียน ตะไล ไฟพะเนียง และดอกไม้ไฟอื่นๆ ต่างก็จุดสว่างไสวทั่วลานวัด ดูสวยงานยิ่งนัก นอกจากพลุเท่านั้นที่เจ้าของแต่ละเจ้าไม่ยอมจุด ไม่ว่าจะเป็นพลุที่มีผู้มาหาช่วยหรือว่านำมาช่วยเองก็ตาม จากเหตุการณ์ที่จุดพลุไม่ติดและยิงปืนไม่ออก ในเย็นวันฌาปนกิจศพหลวงพ่อไปล่ครั้งนั้น ยังติดตราตรึงใจของผู้ที่ประสบมากับตนเอง และได้เล่ากันต่อๆมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้เวลาจะผ่านไป ๕๐ กว่าปีก็ตาม

ส่วนอัฐิเถ้าอังคารของหลวงพ่อนั้น ทางวัดได้เก็บรักษาไว้ส่วนหนึ่งและจัดทำไปตามประเพณีที่เรียกว่าลอยอังคารส่วนหนึ่งด้วย บรรดาศิษย์ของหลวงพ่อต่างมีความประสงค์อยากจะได้อัฐิเก็บไว้บูชาบ้างแต่คณะกรรมการไม่สามารถที่จะจัดแบ่งให้ได้พวกเขาจึงพากันไปเก็บเอา เศษฟืน เศษหยวกกล้วยที่แกะสลักประดับเชิงตะกอนวางโลงศพหลวงพ่อเอาไปบูชาด้วยความศรัทธา เคารพนับถือ และเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ตามความเชื่อถือของแต่ละบุคคล

เมื่องานฌาปนกิจศพหลวงพ่อไปล่ ผ่านพ้นไปไม่นานนัก คณะกรรมการได้จัดการปั้นรูปเหมือนเท่าตัวจริงของท่านขึ้นไว้ให้บรรดาลูกศิษย์และผู้ที่มีความศรัทธาเลื่อมใส เคารพนับถือ ได้กราบไหว้บูชา ซึ่งประดิษฐานอยู่ในศาลาจตุรมุขที่สง่างาม ได้มีการจัดงานที่ระลึกวันมรณภาพของหลวงพ่อเป็นประจำทุกปีตลอดมา เพื่ออุทิศบุญกุศลถวายท่าน ตราบเท่าทุกวันนี้

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Racing 101 : รถยนต์ ไฮโดรเจน คืออะไร? และรถยนต์ Hydrogen Fuel Cell คืออะไร??

ถ้าใครเรียนวิชาเคมีมาจะรู้ว่า การที่  H2 + O2 = H2O + O + พลังงาน นั่นคือ การแปลงจากสมการด้านซ้าย ไปเป็นสมการด้านขวา มันจะปลดปล่อยพลังงานออกมา

นี่คือความฝันของมนุษยชาติเลยทีเดียว เพราะตัวมันเองแทบไปไม่มีการปล่อยแก๊สที่เป็นมลพิษออกมาเลย แต่ความเป็นจริงแล้ว ม้นกลับกลายเป็นเทคโนโลยีเก่าที่มีการคิดค้นมาตั้งแต่ช่วงวิกฤติน้ำมันในปี 1974 แล้ว  แต่ 40 ปีผ่านไป ทำไมมันกลับฮิตในท้องถนน โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นอยากที่จะขุดเทคโนโลยีนี้ขึ้นมา  เรามาดูปัญหาของของมันกัน

รถยนต์ "จุดระเบิด" ด้วย Hydrogen 
รถยนต์จากพลังงานจากไฮโดรเจนนั้น เริ่มต้นจาก เทคโนโลยีการส่งกระสวยจรวดไปในอวกาศ นั่นคือ มันยังเป็นกระบวนการแปลงพลังงานเคมี ไปเป็นพลังงานกล แบบทางตรง ผ่านการเผาไหม้ โดยระบบการเก็บพลังงานนั้นจะแยกเป็น 2 ถัง คือ  ถังเก็บไฮโดรเจน และถังเก็บอ๊อกซิเจน (เหมือนสมการด้านซ้ายข้างต้น)

ข้อดีของ รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮโดรเจน แบบเลียนแบบจรวด มาคือ  รถต้นแบบที่ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจนนี้ สามารถทำความเร็วได้ถึง 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเฉพาะ รถยนต์ต้นแบบ Ford Fusion Hydrogen 999 ในปี 2007

ย้อนกลับไปในปี 2003 Mazda ออกรถยนต์ Mazda RX8 Hydrogen RE ซึ่งใช้ระบบการจุดระเบิดแบบ Wangel Rotary ที่สามารถใช้ได้ทั้งน้ำมัน และไฮโดรเจน  แต่ความแตกต่างคือ ไฮโดรเจนผลิตแรงม้าได้แค่ 107 แรงม้า ขณะที่เครื่องยนต์น้ำมันเบนซิล กลับสามารถผลิตได้ถึง 206 แรงม้า โดยตอนนั้น Mazda วางขายแค่ 2 จังหวัดในญี่ปุ่นเท่านั้น

ถัดจาก Mazda มาไม่กี่ปี  BMW ก็ประกาศตัวว่า "BMW Hydrogen 7 เป็นรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนที่ผลิตเพื่อขายรุ่นแรกของโลก (แต่ความจริงมันจำกัดการขายเพียงแค่ 100 คัน) โดยนำรถยนต์ Series 7 E65 มาดัดแปลง โดยเปลี่ยนเครื่องยนต์จาก V12 6 ลิตร ให้สามารถใช้พลังงาน ไฮโดรเจนแทนได้ รถยนต์รุ่นนี้สามารถเติมได้ทั้ง น้ำมันเบนซิล และไฮโดรเจน

แต่ปัญหาคือ หากเป็นรถยนต์รุ่นเดียวกัน เครื่องตัวเดียวกัน กินน้ำมัน 13.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร แต่สำหรับรถยนต์สันดาปด้วยไฮโดรเจน มันกลับกินถึง 50 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตรเลยทีเดียว โดย BMW Hydrogen 7 นั้นถ้าเติมไฮโดรเจนเต็มถัง จะหนักถึง 8 กิโลกรัม แต่เดินทางได้แค่ 201 กิโลเมตร  เทียบกับน้ำมัน ที่เติมเต็มถัง 55 กิโลกรัม แต่เดินทางได้ถึง 408 กิโลเมตร 

สิ่งนี้เองทำให้ รถยนต์ชับเคลื่อนด้วยระบบจุดระเบิดภายในด้วยไฮโดรเจนถึงกาลอวสาน

การผลิตไฮโดรเจน 
ทุกวันนี้การผลิตไฮโดรเจน ผลิตจาก การแปรรูปมีเทนด้วยระบบการกลั่น (steam methane reforming) คือการนำสารเคมีไฮโดรคาร์บอน (โดยทั่วไปคือ แก๊ซหุงต้ม) มาทำปฎิกริยากับน้ำ ก็จะได้ ไฮโดรเจน และก๊าซคาร์บอนมอนอ๊อกไซด์ออกมา

CH4 + H2O ⇌ CO + 3 H2

อย่างที่บอก มันเป็นการลดมลพิษแบบฉ้อฉล นั่นคือ มันยังปล่อย ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ ออกมา และยังใช้ เชื้อเพลงแบบฟอสซิลในการผลิตมันขึ้นมาอยู่ดี

รถยนต์ Hydrogen Fuel Cell

รถยนต์ Hydrogen Fuel Cell นั้น แตกต่างจากรถยนต์ขับเคลื่อนด้วย การจุดระเบิดภายในด้วย Hydrogen เพราะมันเป็นการเปลี่ยนพลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อไปขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า แทนที่จะจุดระเบิดภายในแบบเดิม

แนวคิดคือ เราจะอัดไฮโดรเจน และอ๊อกซิเจน ผ่านแผ่นเพลทเหล็ก (โดยอ๊อกซิเจน จะออกแบบให้ดูดเข้ามาจากอากาศภายนอก ไม่เก็บไว้ในแท๊งค์ เพื่อประหยัดพื้นที่และน้ำหนัก)  เมื่อสารเคมีทั้งสองเจอกัน มันจะคายประจุบวกออกมา เราจะใช้ แผ่นเพลทดักจับ ประจุเหล่านี้เพื่อนำไปใช้สร้างกระแสไฟฟ้า แต่อุณหภูมิของน้ำที่ออกมานั้น มันสูงถึง 85 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว

สรุป ก็คือ Hydrogen Fuel Cell นี้ก็ยังต้องใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนไม่ต่างกับรถยนต์ไฟฟ้าที่เราพูดไปก่อนหน้านี้ เพียงแต่มันเปลี่ยนจาก แบตเตอรี่ ล้วนๆ  ไปใช้ ไฮโดรเจน เป็นแหล่งพลังงานแทน

ย้อนกลับไปปี 1999 Benz ออกรถต้นแบบ รถยนต์ Benz A140 เพื่อทดลองใช้ Hydrogen Fuel Cell มันได้ผลค่อนข้างน่าพอใจ ทั้งแรงม้า (มาจากมอเตอร์ไฟฟ้า)  และพื้นที่ห้องโดยสารที่ยังคงไม่ถูกลดทอนลง

ปี 2015 โตโยต้า Mirai (ภาษาญี่ปุ่น แปลว่า อนาคต) ถือเป็นรถยนต์ Hydrogen Fuel Cell รายแรกของโลกที่ผลิตเพื่อออกขายจริงในตลาด (Production Car)  โตโยต้านั้นพยายามลดต้นทุนลงอย่างมากและทุ่มเทกับเทคโนโลยีนี้อย่างหนัก 

สิ่งแรกคือ โตโยต้า พยายามขายเทคโนโลยีนี้ ออกไปให้กับบริษัทอื่น เพื่อลดต้นทุนการวิจัย โดยเฉพาะการขายให้กับ BMW ส่วนที่สอง คือ การพยายามลดต้นทุนด้วยการแชร์ชิ้นส่วนรถยนต์ โดยเฉพาะ รถยนต์ไฮบริดของตนเอง ให้ได้มากที่สุด เพราะส่วนใหญ่ มันคือ รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้านั่นเอง

นอกจากนี้ ยังพยายามแบ่งห้องเครื่องระบบไฮโดรเจนมาไว้ที่ ใต้ที่นั่งคนขับด้านหน้า และถังไฮโดรเจนยังอยู่ที่เบาะหลัง และ ส่วนที่เก็บสัมภาระด้านหลัง โดยในถังเก็บไฮโดรเจน นั้น พวกเขาก็ทำผลิตถึง 3 ชั้น โดยเฉพาะด้านนอกสุด ห่อหุ้มด้วยพลาสติกที่หนามาก ชั้นถัดมา ห่อหุ้มด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ ชั้นถัดไปจะเป็นพลาสติกที่หุ้มด้วยไฟเบอร์กลาสอีกชั้น เพื่อหุ้มไฮโดรเจนที่มีความดันสูงถึง 700 บาร์ โดยมันสามารถวิ่งได้ไกลถึง 300 กิโลเมตร บางแห่งวัดได้ถึง 500 กิโลเมตร นี่คือจุดได้เปรียบของ รถยนต์มลพิษต่ำ ที่เมื่อไปเทียบกับคู่แข่งอย่างรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ล้วนๆ (ณ วันนี้ยังได้เปรียบรึเปล่า ไม่ใช่แล้ว)

แต่เมื่อเทียบประสิทธิภาพแล้ว มันยังสูญเสียพลังงานบางส่วนไปสร้างความร้อนมากกว่ารถไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ล้วนๆ 

ข้อโต้แย้ง
Elon Mask เจ้าของบริษัท Tesla นั้นออกมาตอบโต้ รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานไฮโดรเจนว่า  นี่คือเทคโนเลยีที่บ้าบอคอแตก   เขาแนะนำว่า ให้ใช้โซลาร์เซลล์ ชาร์จเข้าแบตเตอรี่ แล้วให้มอเตอร์ไฟฟ้าเอาไปวิ่ง ก็จบแล้ว  แต่เทียบกับพลังงานไฟฟ้าจากไฮโดรเจนที่จะต้องมีต้นทุนการผลิตไฮโดรเจนที่สูงมาก (ความจริงราคาขายไฮโดรเจนเต็มถังมันเท่ากับน้ำมันในปัจจุบัน เมื่อเทียบระยะทางที่เท่ากัน) แล้วยังต้องไปแปลงเป็น ไฟฟ้า แล้วค่อยให้มอเตอร์ไฟฟ้ามาปั่นเช่นกัน ทำไมโตโยต้าต้องทำให้ซับซ้อนด้วย



Racing101 : อะไรบอกว่า รถไฟฟ้า EV ของคุณอยู่ระดับไหน

ประวัติรถไฟฟ้า
รถยนต์ไฟฟ้าคามจริงมีมาตั้งแต่ช่วงปี 1880 แล้ว แน่นอนว่า ยุคนั้นมันก็ใช้งานแค่มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าทุกวันนี้  แต่ข้อแตกต่างคือ พวกเขาล้มเหลวในการพัฒนาแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักมาก เก็บพลังงานได้น้อย และใช้เวลาในการชาร์จไฟที่ช้ามาก สิ่งนี้ทำให้รถไฟฟ้าถูกละเลยมาเป็นเวลาร้อยกว่าปี เลยทีเดียว

แต่ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา แบตเตอรี่ก็พัฒนาไปพอมสมควร หลายประเทศเริ่มผ่านกฎหมาย รถ Zero Emission Vehiclels หรือ  ZEV และ รถยนต์ไฟฟ้านั้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ 

ในปี GM ออกรถในปี 1997 แต่ยังใช้แบตเตอรี่แบบตะกั่วน้ำกรดอยู่ ทำให้ เฉพาะน้ำหนักแบตเตอรี่ ก็หนัก ถึง ครึ่งตัน แล้ว  แม้ว่ารถคันนี้จะออกแบบให้มีที่นั่งแค่ 2 ที่นั่งก็ตามแต่มันยังขับไปได้ไม่ไกล และ ต้นทุนการผลิตก็แพงมาก ทำให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ในที่สุด 2 ปีถัดมา GM ก็เลิกโปรแกรมนี้ไป

การพัฒนาแบตเตอรี่ไฟฟ้า
แต่กลายเป็นอุตสาหกรรมไฮเทคอย่าง โทรศัพท์มือถือ และ โน็ตบุ๊คที่ผลักดันเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  เงินจำนวนมากถูกเทลงไปเพื่อทำการวิจัย เทคโนโลยีแบตเตอรี่ ให้ก้าวหน้าขึ้น โดยมันเริ่มต้นจาก แบตเตอรี่ นิเกิลไฮไดร  ต่อมาก็เป็น ลิเทียมไอออน แบตเตอรี่ ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา

ผลก็คือ แบตเตอรี่ มีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาขึ้น และเวลาชาร์จไฟก็น้อยลง สิ่งนี้เองทำให้ Nissan Leaf และ Tesla Model S นั้นเกิดขึ้นมาได้  รัฐบาลทุกประเทศต่างมุ่งหน้าไปหาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไฮเทค

ตอนนี้ บริษัทขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ และรัฐบาลต่างเทหน้าตัก ไปเพื่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการพยายามออกกฎหมายการปล่อยมลพิษ หรือ CO2 เพื่อบีบให้ผู้บริโภค เปลี่ยนรถยนต์กันมากขึ้น

ปัญหาของรถไฟฟ้า
ทำไมมันถึงน่าสนใจ เพราะบริษัทขนาดเล็กก็สามารถสร้างรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาได้ เพราะแรงขับเคลื่อนมันใช้เพียงแค่มอเตอร์ และแบตเตอรี่ เท่านั้น มันไม่มีชิ้นส่วนมากมายเท่ากับ เครื่องยนต์สันดาบภายในแบบในปัจจุบัน

แต่ประเด็นปัญหาคือ

สิ่งแรกคือ ต้นทุนด้านแบตเตอรี่  สิ่งนี้ถือเป็นจุดชี้เป็นชี้ตาย เพราะรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กนั้น จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เพราะรถยนต์ไฟฟ้าทั้งคันนั้น ต้นทุนค่าแบตเตอรี่ก็อาจสูงถึง 200,000 บาทแล้ว  นั่นแทบทำให้รถยนต์ขนาดเล็กเกิดยากมาก สำหรับเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในปัจจุบัน แต่โชคดีอย่างหนึ่งคือ บริษัทผลิตแบตเตอรี่ต่างก็เริ่มเร่งการผลิตออกมา และมันจะก่อให้เกิด Economic of Scale กันมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อ ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ในอนาคตอันใกล้นี้ ที่น่าจะมีราคาที่ถูกลง

สิ่งถัดมาคือ พลังงานในแบตเตอรี่ นั้น เรื่องนี้มันสะท้อนว่า รถยนต์จะวิ่งได้ไกลเท่าไหร่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง แน่นอนว่า รถยนต์ไฟฟ้าหนึ่งคันนั้น หนักหลายร้อยกิโลกรัม น้ำหนักครึ่งหนึ่งเป็นเพราะแบตเตอรี่ Tesla นั้นฉลาดมากที่แพคเบตเตอรี่ใต้ท้องรถ นอกจากมันทำให้จุดศูนย์ถ่วงรถยนต์ต่ำ แล้ว มันยังประหยัดพื้นที่ใช้สอยอีกด้วย และสามารถใส่แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ลงไปในรถยนต์ได้

ที่สำคัญคือ มันทำให้ โครงสร้างรถยนต์นั้นแข็งแกร่งตามแบตเตอรี่ไปด้วย  ขณะที่ ฺฺBMW i3 เลือกหนีไปที่การลดน้ำหนักรถยนต์ เพื่อเพิ่มระยะทางต่อการชาร์จแทน  โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนชิ้นส่วนไปใช้อลูมิเนียม และ คาร์บอนไฟเบอร์ จำนวนมากในรถยนต์แทน แต่สิ่งที่ BMW ทำนั้น มันเทียบเท่ารถสปอร์ตในปัจจุบันชัดๆ แน่นอนมันทำให้ต้นทุนรถยนต์ธรรมดากลายเป็น ซูปเปอร์คาร์

ปัญหาคือ พลังงานในแบตเตอรี่ เราจะวัดจากความเข้มข้นของพลังงานต่อน้ำหนักแบตเตอรี่ หรือ จำนวนวัตต์ชั่วโมง ต่อน้ำหนักแบตเตอรี่ นั่นเอง  ตอนนี้ ทุกอุตสาหกรรมทั้งมือถือ รถยนต์ไฟฟ้า และโซลาร์เซลล์นั้น ต่างเทเงินไปในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่แบบไฮเทคกันหมด ทำให้เร็วๆ นี้ เราคงได้ยินข่าวดีอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาที่ 3 คือ ระยะเวลาชาร์จไฟ และการชาร์จไฟ  เพราะปกติ เราควรมีเวลาข้ามคืนเพื่อชาร์จไฟให้เต็มเท่านั้น  สถานีชาร์จไฟอาจช่วยได้เล็กน้อย เพราะรถยนต์ไฟฟ้าระดับหรู คงไม่สามารถไปชาร์จไฟที่สถานีเกินกว่า 1-2 ชั่วโมงได้ ขณะที่สถานีแบบ Quick Drop แบตเตอรี่ ที่ให้ไปเปลี่นยแบตเตอรี่ทั้งก้อนนั้นก็ถือเป็นไอเดียที่ดี แต่รถยนต์ไฟฟ้า ทุกแบรนด์นั้นต้องกำหนด ขนาดแบตเตอรี่ที่เป็นมาตรฐาน และต้องออกแบบมาให้ สามารถถอดเปลี่ยนได้ง่ายๆ ด้วยนี่สิ ยกตัวอย่าง รถยนต์ Tesla จะถอดแบตเตอรี่ออกมาได้อย่างไร  สิ่งที่น่าหนักใจคือ จะทำอย่างไรให้การชาร์จได้เร็ว เท่าๆ กับการเสียเวลาในการเติมน้ำมัน

สิ่งสุดท้าย ก็คือ สถานีเติมไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า  กับ รถยนต์ไฟฟ้า อะไรควรเกิดก่อนกัน นั่นคือ  รัฐบาลจะต้องเข้ามาสนับสนุนให้มากกว่านี้ เพราะรัฐบาลทั่วโลกต่างเห็นดีที่จะออกกฎหมายบังคับให้ใช้รถไฟฟ้า แต่สถานนีเติมไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า  คือ โลกคามเป็นจริงที่มันต้องเกิดมาก่อนเพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้า

และท้ายสุด คือ Long Life หรืออายุการใช้งาน

แบตเตอรี่
แบตเตอรี่ถือเป็นสิ่งวัดความไฮเทคของรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละคันเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่หลายคนยังหลงคิดไปว่า มอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังแรง หรือ อย่างอื่น แต่ความเป็นจริงคือ แบตเตอรี่ไฮเทค  อย่างที่บอกไว้ข้างต้น เราวัด ความยอดเยี่ยมของแบตเตอรี่ จาก ความเข้มข้นด้านพลังงานต่อ น้ำหนักหนึ่งกิโลกรัม เป็นหลัก ถือเป็น Priority แรกเลยทีเดียว

สำหรับแบตเตอรี่ ที่เป็นระดับโปรดักชั่น หรือผลิตขายจริงเท่านั้น ปัจจุบันเราเรียงลำดับดังนี้
(ข้อมูลปี 2021)


0. Litium-ion manganes Cobalt หรือ LMO  ที่น่าสนใจคือ มันทนกว่าเดิมถึง 5-6 เท่า และยังมีความหนาแน่นของพลังงานต่อน้ำหนัก (W/kg) ที่ดีกว่าอีกด้วย อย่างไรก็ดี มันแค่พัฒนาต่อมาจาก NMC เท่านั้น

1. Lithium NCA หรือ Nickel Cobalt Aluminum Oxide (LiNiCoAlO2)  มันก็ถือว่า เป็นแบตเตอรี่ที่มีราคาแพง และมีราคาแพงกว่า Cobalt และยังอาจเกิดไฟไหม้ได้ ถ้าแบตเตอรี่เสียหาย แต่ข้อดีของมันคือ ความหนาแน่นต่อน้ำหนัก มันยังสูงกว่า NMC ถึง 20-30% เลยทีเดียว

 2 Litium NMC (Nickle Magaese Cobalt Oxcide) เทสล่านั้น ในตอนเป็นตัว เลือกใช้ แบตเตอรี่แบบนี้  ทำให้กลายเป็นรถยนต์ราคาแพงในตอนเปิดตัว  เพราะ เขาเลือกแบตเตอรี่ที่ดีที่สุด แต่ปัจจุบัน (2021) มันกลายเป็น แบตเตอรี่มาตรฐานของรถยนต์ EV 
 
3 ลิเทียมนิกเกิล แมงกานิส  รถยนต์อย่างนิสสัน ลีฟ และ BMW I3 นั้นเลือกที่จะใช้แบตเตอรี่รุ่นนี้
4. Lithium Iron Phosphate (LiFePO4) แบตเตอรี่ตันี้ เป็นที่นิยมในปัจจุบัน กับรถไฟฟ้า เพราะมีราคาที่จับต้องได้ และยังได้พลังงานมากกว่า แบตเตอรี่น้ำกรด ถึง สามเท่า  โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน จะใช้แบตเตอรี่ตัวนี้เป็นหลักเลย (ในปี 2021) โดยเฉพาะรถยนต์จากค่าย BYD ข้อดีของมันคือ ราคาค่อนข้างสมเหตุสมผล และมีการจำนวนการชาร์จที่เยอะ (ประมาณ 2000 ครั้ง) แต่ข้อเสียคือ ควาามหนาแน่นของพลังงานต่ำ 

5.  Lithium Titanate (Li4Ti5O12)  หรือ LTO   Honda jazz EV และ Mitsubishi iMiEV เคยเอามาใช้ช่วงสั้นๆ  ข้อเสียคือ มันเป็นแบตเตอรี่ที่มีราคาแพง เมื่อเทียบกับ ความจุไฟฟ้า แต่ข้อดีที่สุดคือ มันไม่เกิดประกายไฟ หรือระเบิด และอายุการใช้งานก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้คือ 7000 ชาร์จ

6.  นิกเกิล เมทอลไฮไดรท์   ฮอนด้านำมาใช้ในปี 1990 (มันมีค่าัตสูงก่า หนึ่งเท่าเมื่อเทียบกับน้ำกรด) และมันยังถูกใช้ในรถยนต์ Prius ของโตโยต้าในช่งเดียกันอีกด้ย แต่ปัจจุบันมันไม่ดีพอสำหรับรถไฟฟ้าแล้
7 นิกเกิล แคดเคต
8. Lead Acid น้ำกรดตะกั่ว  ข้อดีข้อเดียวของมันคือ ราคาที่ถูกที่สุด

โดยเมื่อเทียบสูงสุดกับ แบตเตอรี่แบบน้ำกรดแล้ว  ด้วยน้ำหนักที่เท่ากัน แบตเตอรี่แบบลิเทียมนิเกิลโคบอลล์ นั้นสามารถวิ่งได้ไกลกว่า แบตเตอรี่ตะกั่วน้ำกรดถึง 6 เท่าเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี บางคนอาจแย้งว่า พลังงานไฟฟ้าก็ยังสร้างจากพลังงานอื่นเช่น น้ำมัน หรือ ถ่านหินอยู่ดี แต่ช้าก่อน เมื่อเทียบประสิทธิภาพ กับรถยนต์สันดาบภายใน ไม่ว่าจะเบนซินหรือดีเซลแล้ว เครื่องยนต์พวกนี้สูญเสียเป็นพลังงานความร้อนถึง 40% ไปแบบฟรีๆ นั่นยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า รถยนต์ไฟฟ้าแม้จะใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากน้ำมัน ก็ยังมีประสิทธิภาพที่สูงกว่า เพราะพวกเขาสูญเสียเป็นพลังงานความร้อนนั้นต่ำกว่ามาก นอกจากนี้ การปล่อยมลพิษก็ยังน้อยกว่าอยู่ดี

อย่างไรก็ดี ถ้าเทียบกันด้าน มลพิษอย่างเดียยวแล้ว มันก็ยังมีคู่แข่งคือ รถยนต์พลังงานไฮโดนเจน แต่เราจะมาว่ากันวันหลัง

หมายเหตุ 
ในครั้งแรกที่ Tesla เลือกแบตเตอรี่นั้น ได้เลือก เซลล์แบตเตรี่ Litium-ion ของ Panasonic ขนาด18650 ใช้ทั้งหมด 7104 ก้อน แยกเป็น 16 module เพื่อใช้ต่อแบบอนุกรม ได้ 345 Volt ได้ 85kwh และใช้ในรถยนต์ Tesla Roadster (มีโคบอล์ท อยู่ 11 กิโลกรัม)  ต่อมาในรุ่น Tesla S จึงได้ลด โคบอล์ทลงมาเหลือ 7 กิโลกรัม แต่แทนที่ด้วย Graphite และ Silicon แทน (ของมันอยู่แถวเดียวกันในตารางธาตุ)

โดยต่อมาจึงได้เปลี่ยนขนาดเป็น 21700 ในรถยนต์รุ่น Tesla 3 ได้ลด Cobalt  ลงอีก  แทบจะบอกได้ว่า แบตเตอรี่ไหนดีไม่มี (ในยุคนี้) ซึ่งแม้ว่า Tesla จะลดโคบอล์ทลงแล้ว ก็ยังมีปริมาณมากกว่าแบรนด์อื่นอยู่ดี และเป็น Material ที่แพงที่สดในแบตเตรี่เลยทีเดียว  ส่วนแมงกานิส นั้นถือเป็น Material ที่ถูกที่สุด

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

อะไรที่หมายถึง Audio ระดับ HiRes

ขณะที่เราฟังเพลง Digital Audio กันบ่อยๆ เราเคยสงสัยมั้ยว่า Bit Rate คืออะไร Sampling Rate คืออะไร  File Format มีอะไรบ้าง และวิธีการ Encode คืออะไร  แล้วการ Encode ที่ดีมันจะได้เสียงที่ถูกต้องจริงหรือไม่
chart of sound waves – O N C A
สัญญาณเสียง Analog
ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องรู้จัก สัญญาณเสียงแบบ Analog ก่อน มันจะมีลักษณะ เป็นกราฟ Sine Wave โดยมันจะมีทั้งความสูง และความกว้าง  (นอกจากนี้ยังมีความถี่อีกด้วย)


ขณะที่ กราฟเสียแบบ Digital นั้นจะพยายามเลียนแบบกราฟเสียงของ Analog ด้วย  2 แกน คือ  แกน Y หรือแกนตั้ง  และ แกน x หรือแกนนอนนั่นเอง

คำอธิบาย ของ BitDepth ก็คือ ความละเอียดของความสูงของกราฟที่ดิจิตอล พยายามเลียนแบบกราฟ นั่นคือ  BitDepth ลองดูภาพด้านบน จะเห็นว่า  ระดับ 16 bits นั่นคือ ระดับขั้นบันไดจะละเอียดกว่า นั่นหมายความว่า มันสามารถสร้างความละเอียดความดังของเสียงได้ถึง 65,536 ระดับ ซึ่งทำให้มันได้เสียงที่ละเอียดกว่า 8 bits แน่นอน



คราวนี้เรามาอธิบายความละเอียดด้านแกน X ของกราฟบ้าง นั่นคือ มันจะถูกแบ่งเป็นความถี่ ที่ถูกซอยย่อยออกมา จากภาพด้านบน เราจะเห็นว่า ถ้าซอยออกมาแบบห่างๆ กราฟจะยังเป็นทรงเหลี่ยม แต่เมื่อถูกซอยย่อยมากขึ้น กราฟจะมีลักษณะที่ใกล้เคียง กราฟ Sine Wave มากขึ้น

คำอธิบายก็คือ เมื่อเราซอยกราฟ อย่างที่เรารู้ว่า แนวนอนนั้นคือความถี่ เมื่อเราซอยได้มากขึ้น กราฟจะมีความละเอียดทางแนวนอนได้มากขึ้น  นั่นหมายความว่า ความถี่จะถูกซอยออกมาได้มากขึ้น โดยความหมายของมันก็คือ การซอยความถี่ออกมา จึงมีหน่วยเป็น Hz  เช่น ถ้าเราใช้ Sampling Rate 44.100 kHz มันบอกอะไรเรา มันบอกว่า ความละเอียดของแกน X ณ ช่วงเวลาหนึ่งนั้น อยู่ที่  44.1 kHz นั่นเอง 

สรุป คือ ยิ่งเราจำลองกราฟดิจิตอล ให้เสมือนกราฟ Analog ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสมือนเราฟังจาก Analog มากขึ้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น 24bits /96mHz กราฟที่ได้ก็จะใกล้เคียงกับ Analog มากกว่า 16bits/44.1mHz

Bit Rate 
คราวนี้มาถึง Bit Rate มันคือ การวัดปริมาณข้อมูลต่อ 1 วินาที มีหน่วยเป็น  Kilobits per Second หรือ kbps  หรือเรียกย่อๆ ว่า k นั่นหมายความว่า  bit rate คือ การส่งผ่านข้อมูลต่อไฟล์ที่บีบอัด(encode) แล้ว หรือ ความเร็วในการรับและส่งไฟล์ ซึ่งหลายคนมักจะใช้ตัวนี้เป็นวัดว่า คุณภาพเสียงเป็นเช่นไร ความจริงมันเป็นเช่นนั้นหรือไม่

 

หลายคนเชื่อว่า ขนาดไฟล์ต่อเวลา หรือ Bitrate ยิ่งเยอะ แปลว่า ยิ่งดี ความจริงคือ มันถูกเพียงครึ่งเดียว
นั่นเป็นเพราะว่า การ Encode หรือการบีบอัดบางฟอร์แมทนั้น มันทำได้ดีกว่า  แต่ถ้าเทียบกับไฟล์ฟอร์แมทเดียวกัน มันย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน

เราจึงต้องมาเรียนรู้มาตรฐานไฟล์ฟอร์แมท

มาตรฐาน CD และ MP3


ในแผ่น CD นั้นจะใช้ ไฟล์ ฟอร์แมท WAV เป็นหลัก โดยครั้งแรกมันเป็นไฟล์เพลงที่ไม่ได้ถูกบีบอัด (Uncompress) ระดับสูงในวงการ โดยมันมีมาตรฐาน ที่ 16 bits และ 44.1mHz โดยมันมี Bitrate ที่ 1411 kbps 

ที่สำคัญคือ คือ มาตรฐานไฟล์ CD นี้ เอง ที่กำหนดว่า ไฟล์เพลงอะไร ที่เรียกว่า Hi Res จะต้องมี Bit Depth และ Sampling Rate ที่สูงกว่า CD ถึงเรียกว่า ไฟล์เพลงแบบ HiRes

ย้อนอดีตกลับไปในปี 2000 ไฟล์ WAV ยังมีการพัฒนา มาเป็น SACD และ DVD Audio มาอีก แต่โชคร้ายมันออกมาผิดช่วงเวลา ช่วงนั้น Apple ออก Ipod ออกมา ทำให้เพลงระดับ HiRes ถูกกลบไปด้วยกระแส "เพลงนับหมื่นในกระเป๋า" แฟนฟังเพลงต่างก็มุ่งหน้าไปไฟล์เพลงแบบบีบอัดสูงแทน

แน่นอน Storage หรือที่เก็บไฟล์ในยุคนั้น ยังคงไม่มีที่ว่างมากเพียงพอสำหรับขนาดไฟล์เพลงระดับ  Hi res ที่เก็บเพลงยังเพียงพอสำหรับแค่ Mp3 เท่านั้น ที่เป็นไฟล์เพลงแบบ Lossy digital audio เพราะมันสามารถบีบไฟล์เพลงจาก CD มาลงไฟล์ขนาดเล็กได้  แต่นั้นเป็นเรื่อง 15-20 ปีก่อน

แม้แต่นักร้องอย่าง Neil Young ก็ออกมาวิจารณ์ว่า เพลง Mp3 นั้นเป็นเพลงแบบไร้คลาส แต่แล้วในช่วงปี 2010 ก็เริ่มมีเครื่องเล่นเพลง Hires ออกวางขาย  และโปรเจคตั้งร้านขายเพลง HiRes ก็เริ่มต้นขึ้นกันมากมาย ถึงตอนนี้มีคนไปสัมภาษณ์ Neil young อีกครั้ง คราวนี้ แกประทับใจมากกับไฟล์เพลงแบบ HiRes

HiRes
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ความหมายของ Hi res คือ คุณภาพที่ดีกว่า CD audio แล้วคุณรู้หรือว่า CD มีคุณภาพแบบไหน อย่างที่เราบอกไปข้างต้น เพลงเกิดจาก 2 อย่าง คือ Bit Depth กับ Sample rate นั่นคือ 2 ค่านี้ต้องมากกว่า คุณภาพของ CD

CD นั้นมี Bit Depth อยู่ที่ 16 bit และมี Sampling rate ที่ 44.1 kHz หรือเราเรียกเป็น 16 bits / 44.1 kHz นั้นคือถ้าจะสูงกว่า CD นั่นคือ Hi Res ต้องมี อย่างน้อย 24 bits / 48 kHz

แล้วทำไมครั้งแรก Sony กับ Phillip ถึงได้ตั้งมาตรฐานเพลง CD นี้ไว้แค่นั้น เหตุผลที่ Sony ให้คือ ข้อจำกัดที่ว่า หูมนุษย์นั้นไม่สามารถแยก Sampling Rate ที่มากกว่า 44.1 kHz ได้แล้วนั่นเอง พวกเขาเคลมว่า นี่คือ ระดับหูทองก็แยกไม่ออก ความแตกต่างที่มากกว่า 16bits/44.1  แต่ความจริงนั้น เป็นเหตุผลทางการตลาด เพราะ CD 1 แผ่นนั้น ต้องเก็บเพลงให้ได้ทั้งอัลบั้มมากกว่า

แล้ว เราจะเอาไฟล์ HiRes จากไหน โชคดีที่ในอดีตนั้น ห้องอัดระดับ Studio นั้นหลายแห่งได้เลือกที่จะใช้ค่าที่สูงกว่านั้น เพราะเหล่าบรรดา audio engineer เคลมว่า พวกเขาแยกความแตกต่างของระดับเสียงออก ห้องสตูดิโอหลายแห่ง จึงเลือกที่จะอัดเสียงแบบ 24 bit / 96 kHz  นั่นทำให้ Apple ใช้แปลงเป็นฟอร์แมทไฟล์ ACC ที่ 256kbps มันเป็นไฟล์แบบ Lossy เหมือน Mp3 เพียงแต่มันใช้เทคโนโลยีในการ Encode ที่ใหม่กว่าเท่านั้น

Apple เคลมว่า นี่คือ ไฟล์ที่เหมือน Master ในห้องอัดมากที่สุด เพราะแหล่งของ  HiRes Source นั้นมันเก็บความละเอียดสูงสุดมาเท่านี้ ดังนั้น คุณภาพเสียงจะขึ้นอยู่กับ การ Encode เท่านั้น ซึ่ง Apple นั้นเชื่อว่า ACC ในยุคนั้น คือ ตัว Encode ที่ดีทีสุดในเวลานั้นแล้ว

มาถึงตรงนี้ ทั้งไฟล์ Mp3 และ AAC นั้น ไม่สามารถตอบสนอง หูฟังระดับ Hires ได้อีกต่อไป ไฟล์ที่จะตอบสนองได้ต้องเป็น AIFF ALAC FLAC WAV DSD โดยเฉพาะ Flac ระดับ 24/96 ที่ถูกใช้ในวงกว้างแทบเป็นมาตรฐานของ HiRes ไปแล้ว เพราะมันเทียบเท่ากับห้อง Studio ที่ใช้กัน แต่บางคนก็อัพไปถึง 24/192

ไฟล์ Mp3 ที่จะเกือบจะเทียบเท่ากับ Flac ทั่วไปได้นั้น ต้องระดับ 320kbps ก็ได้ Sampling Rate แค่ 44.1 ไฟล์เพลงอาจมีขนาดใหญ่ถึง 53mb ขณะที่เพลงเดียวกันของ Flac ที่ 24/96 มีขนาดไฟล์ที่ 124 MB

เครื่องมือในการฟัง
สิ่งสำคัญของ Hires คือ การแปลงค่ากลับมา นั่นคือ DAC มันมีอยู่ทั่วไป ทั้งในเครื่องเล่น CD DVD Bluray มือถือรุ่นใหม่  แต่ประเด็นคือ มันอาจถอดรหัสออกมาได้คุณภาพเสียงแค่ Mp3 แค่นั้น

ยกตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ แบบ On Board ที่มี DAC เมื่อมันถอดรหัส Hires ออกมา แต่กลับส่งคุณภาพเสียงออกมาได้แค่ CD หรืออาจจะต่ำกว่าด้วยซ้ำ  ยิ่งไปผ่าน Amplifier กับ ลำโพงที่ไม่มีคุณภาพ บอกได้เลยว่า คุณไม่ต้องใส่ใจเรื่องคุณภาพของไฟล์ก็ได้ เพราะไม่ต่างกันแน่นอน และคุณจะเสียเวลา กับเสียเงินไปดาวน์โหลด ไฟล์เพลง Hires มาเพื่ออะไร

อีกคำถามคือ การ Rip จาก CD ควรทำหรือไม่
หากคุณซื้อไฟล์เพลงจากร้านค้าออนไลน์ที่เชื่อถือได้ ยกตัวอย่างเช่น Apple จะบอกเลยว่า ไฟล์ไหน ระดับเสียงเป็นอย่างไร เช่น 16/44.1 หรือ เป็นไฟล์จาก Studio ที่ระดับ 24/96 กันแน่

แต่ถ้าคุณเป็นพวกนักสะสมแผ่นเสียงไวนิล คุณสามารถแปลง Analog เป็นไฟล์ Hires ได้ด้วยตัวเอง แต่คณภาพเครื่องเสียงของคุณได้ขนาดไหน Encode ด้วยไฟล์อะไร ตั้งค่าอย่างไร มันค่อนข้างซ้บซ้อน และขึ้นอยู่กับประสบการณ์ แน่นอนว่า ก็มีร้านค้าออนไลน์บางร้านทำแบบนี้เพื่อขายเหมือนกัน

คราวนี้เรามาพูดถึง การแปลง CD เป็น Hires ???
บอกได้คำเดียว ถ้านิยามของ Hires คือ คุณภาพต้องสูงกว่า CD นั่นหมายความว่า เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะทำมันได้ แม้ว่าคุณจะแปลง CD เป็นไฟล์ Flac 24/96 ก็ตาม แต่คุณภาพเสียงจริงๆ มันก็ไม่ใช่ Hi Res  ตามนิยามของมัน เพราะเต็มที่มันได้แค่เทียบเท่า หรือบางที ใกล้เคียง CD เท่านั้นเอง

สรุปส่งท้าย
สุดท้ายนี้ เราคงต้องข้อเสียว่า เนื่องจาก MP3 นั้นครองตลาดมาเป็นสิบปี ทำให้มันกลืนอุตสาหกรรมเพลงดิจิตอลไปเกือบหมด คนส่วนใหญ่แทบจะใช้มัน Download มัน ซื้อมัน และเล่นได้หมดทุกเครื่อง และใช้ในทุกบ้านได้อย่างสบาย ทำให้ไฟลล์เพลง Hi Res หรือแม้แต่ CD นั้นหาที่ยืนลำบากในตลาดเพลงทุกวันนี้

โดยแม้ว่า ที่เก็บความจุจะมีราคาที่ถูกลง แต่เนื่องจาก เครื่องเสียงไม่ว่าจะลำโพง หุฟัง หรือ DAC ที่ต้องดีพอที่จะแยกความแตกต่างระหว่าง เพลง MP3 กับ HiRes ออกก็ยากอยุ่ดีที่คนธรรมดาเลือกที่ใช้

คำถามสุดท้าย คือ HiRes เสียงดีกว่าจริงหรือ
มาถึงตอนนี้ เราจะเปรียบเทียบระหว่าง MP3 กับ Flac HiRes นั้นคือ ไฟล์ MP3 ที่มี Low Bitrate นั้นแตกต่างกับ Flac HiRes อย่างแน่นอน แต่ถ้าเทียบ MP3 ระดับ 320kbps หรือมากกว่า ก็ยากที่จะมีคนแยกความแตกต่างกับ Flac ระดับ 24/96 ออก แม้ว่าไฟล์ Flac ก็ยังเสียงดีกว่าอยู่ดี  นี่พูดถึงมาตรฐานการ Rip จาก CD แผ่นเดียวกันนะ (เหตุผลให้คือ ไฟล์ Flac แม้ว่ามันจะ Encode เพื่อให้ได้ 24/96 แต่ต้นฉบับจริงๆ มันคือแผ่น CD ที่มีแค่ 16/44.1 นั้นอยู่ดี แต่ MP3 320 มันกลับ Encode ออกมาได้ใกล้เคียงกับ CD แล้วนั่นเอง

บทความนี้ เราจะขอข้าม Dolby Atmos และ Sony 360 เพราะแม้จะเป็นไฟล์เพลง ฟอร์แมท 3D แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่เกินไป และคนฟังอาจไม่สนใจด้านนี้มากนัก เพราะนักฟังเพลงส่วนใหญ่จะสนใจฟังเพลงแบบ Stereo  2 ลำโพงกันมากกว่า