สมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี เกิดในรัชสมัยรัชการที่ 1 วันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น `15 ค่ำ ปี วอก หรือ วันที่ `17 เมษายน 2331 เวลาอรุณ ที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
นามเดิมชื่อ โต เมื่อบวชแล้ว ได้ฉายา พรหมรังสี ชื่อโต เนื่องจาก เมื่อวัยเยาว์ ท่านมีรูปร่างบอบาง จึงตั้งชื่อโต เพื่อเป็นสิริมงคล โยมมารดาชื่อ เกศ เดิมเป็นชาวท่าอิฐ อุตรดิตถ์ เมื่ออายุ 12 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดสังเวช จังหวัดอยุธยา (แต่บางเล่มว่า เป็นวัดสังเวชวิศยาราม วัดบางลำพูบน ต่อมาได้ย้ายมาศึกษาพระปริยัติธรรม ที่วัดระฆังโฆสิตาราม จังหวัดธนบุรี
ในปี 2350 ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าให้เป็นนาคหลวง อุปสมบท ณ วัด พระศรีรัตนศาาสดาราม โดยพระสังฆราช (ศุข) แห่งวัดมหาธาตุ (เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 2 ของราชวงศ์จักรี)และได้รับฉายาว่า พรหมรังสี ต่อมาได้รับการเลื่อนยศมาต่อเนื่องจนปี 2407 จึงได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพุฒาจารย์ องค์สำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เป็นที่รู้กันว่า ระหว่างก่อนและหลังอุปสมบท นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือ รัชกาลที่ 1 นั้น ทรงเมตตา หรือแม้แต่ พระบาทสมเด็จกพระพุทธเลิศหล้านภาลัย หรือรัชกาลที่ 2 ก็ทรงเมตตายิ่งนัก (รัชกาลที่ 2 นั้นบวชเรียนปีเดียวกับ สมเด็จพุฒาจารย์(โต)) อย่างไรก็ดี รัชกาลที่ 3 หรือ พระบาทสมเด็จพระเนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ 4 ก็ทรงโปรดปราน นับถือสมเด็จพุฒาจารย์โต อย่างมาก
ย้อนกลับมาวัดระฆัง นี้ ครั้งสมัยกรุงธนบุรี เคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) จนปลายรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เนื่องจาก พระองค์เกิดวิปลาส ทำให้ วงการศาสนาต้องสั่นสะเทือน เรพาะ พระสังฆราชองค์นี้ถึงกับต้องพ้นจากตำแหน่ง ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุมาโลก ขึ้นครองราชย์จึงได้คืนสมณศักดิ์ฐานันดร ให้ดังเดิมอีกครั้ง
วัดระฆัง จึงเป็นวัดที่มีความสำคัญคือ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี โดยเมื่อ สมเด็จพุมาจารย์โต ได้ให้กำเนิดพระเครื่องสมเด็จจนได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน
เริ่มต้น
เชื่อกันว่า พระเครื่อง นี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านได้ครองสมณศักดิ์ เป็น สมเด็จพุฒาจารย์ แล้ว โดยกล่าวกันว่า ครั้งแรกนั้น ท่านได้สร้างขึ้นถึง 84000 องค์ ซึ่งเท่ากับจำนวนพระขันธ์พอดี และเชื่อกันว่า ในครั้งแรกนั้น มีการสร้างพระชุดนี้ถึง 73 พิมพ์ ในปี 2409 โดยพิมพ์เหล่านี้เชื่อว่า สร้างเสร็จหลังจากท่านเดินทางไปที่กำแพงเพชรมาแล้ว( 2392-2395)
โดยมีชื่อพิมพ์ดังนี้ พิมพ์นางพญา พิมพ์เม็ดขนุน พิมพ์สังกัจจายน์ พิมพ์ขุุนแผนไข่ผ่า พิมพ์พลูจีบ โดยเชื่อว่า การสร้างพระครั้งแรกๆ นั้น ยังไม่มีมาตรฐานใดๆ แต่เชื่อว่า พระพิมพ์แปลกๆ ในชุดนี้มีอยู่น้อยมาก
ต่อมาจึงได้ยึดเอาแบบพิมพ์พระต่างๆ โดยได้ยึดถือเอาพิมพ์ พระสมเด็จอรหัง ซึ่งเป็นแบฉบับแรกของสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) ผู้เป็นพระอาจารย์ของท่าน เป็นมาตรฐาน เป็นพิมพ์กรอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือที่ชาวบ้านเรียกขานว่า พิมพ์ขึ้นฝัก
ต่อมาเชื่อว่า มีการเปลี่ยนพิมพ์ โดยสมเด็จ ได้นายเทศ เป็นผู้แกะพิมพ์ถวาย ทำให้ได้พิมพ์ที่นิยมในปัจจุบัน คือ พิมพ์ใหญ่ (ทรงพระประธาน) พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ฐานแซม พิมพ์ เกสบัวตูม พร้อมกับกล่าวกันว่า อาจมีพิมพ์ ปรกโพธิ์ อีกพิมพ์หนึ่งด้วย (มาตรฐานในปัจจุบัน พิมพ์ปรกโพธิ์ ไม่ถูกจัดอยู่ในระดับมาตรฐานเหมือน 4 พิมพ์ข้างต้น)
อีกตำนานนั้น ระบุว่า เดิมสมเด็จ ได้ดำริ ให้ช่างทางบ้านช่างหล่อ ทำแม่พิมพ์ขึ้น ครั้นพอผู้ศรัทธาต่างก็ไปทำพิมพ์มาถวาย ทำให้พระสมเด็จครั้งแรกนั้นมีหลายพิมพ์ โดยกล่าวว่า สมเด็จนั้น เมื่อฉันกล้วยเสร็จ จะเก็บเปลือกไว้้ เอาดินสอเหลืองก้อนใหญ่มาเลื่อยให้เป็นผง ผสมกับเปลือกกล้วย แล้วราดบางๆ ด้วยน้ำผึ้งบ้าง น้ำอ้อยเคี่ยวบ้าง และให้ นายน้อยเป็นคนกดพิมพ์ โดยชุดแรก 100 องค์นั้น สมเด็จท่านเก็บไว้สำหรับชาววังที่มาบิณฑบาตร
มีส่วนผสมดังนี้ ผง ปถมัง อิทธิเจ มหาราช พุทธคุณ และตรีนิสงเห และส่วนผสมของข้าวสุก ดินสอพอง กล้วย ปูนขาว และเกสรดอกไม้ 108 อย่าง กับเศษอาหารคลุกๆ ด้วยน้ำมันตังอิ้ว เพื่อประสาน
ในวงการพระเครื่องยืนยันตรงกันว่า ท่านได้สร้างพระตามวัด เพียง 3 วัดนี้เท่านั้น
1 วัดระฆังโฆสิตาราม (ธนบุรี) สร้างครั้งแรก พิมพ์นิยมสี่เหลี่ยมมาตรฐาน (2407-2414) โดยท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ ปัจจุบัน สมเด็จวัดระฆัง ถือเป้นพระเครื่องที่มีพุทธคุณมากที่สุด และยังจัดว่า เป็นวัตถุโบราณที่สำคัญของชาติเนื่องจากอายุเกินกว่า 100 ปีแล้ว
2 วัดใหม่อมตรส หรือ บางขุนพรหม (พระนคร) สร้างพระเครื่องช่วงปี 2513) โดยมีเสมียนตราด้วง (บางคนว่า เสมียนตราเจิม) เป็นผู้นิมต์ ท่านเจ้าคุณสมเด็จไปเป็นประธานในพิธีสร้าง พระสมเด็จบางขุนพรหม แล้วนำไปบรรจุไว้ยังพระเจดีย์ใหญ่ของวัด แต่มีผู้ลักลอบ ตก พระ ออกมาหลายครั้ง โดยพระที่ออกมาจากกรุรุ่นแรก เรียกว่า พระกรุเก่า ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก จนกระทั่ง ปี 2500 ทางวัดจึงได้เปิดกรุนำพระเครื่องออกมาจนหมดสิ้น โดยครั้งนี้เรียกว่า พระกรุใหม่
3 วัดไชโยวรวิหาร (อ่างทอง) เป็นพระเครื่องที่สร้างก่อนวัดระฆัง (2390-95) โดยเชื่อว่า ท่านได้สร้างพระเครื่องที่เรียกว่าพระสมเด็จเกศไชโย นั้น เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศล แก่โยมมารดา และตาของท่าน แต่ในปี 2430 มีปารกปฎิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่ พระชุดนี้จึงได้แตกกรุออกมาในช่วงนั้นเอง
อีกตำนานระบุ ก่อนสมเด็จพุฒาจารย์จะเสียชีวิต ท่านได้สร้างพระมาส่วนหนึ่งแล้ว จึงได้เรียก นายเทศ คือหลานของท่าน อยู่ที่บ้านดินสอ หลังตลาดขมิ้น ได้รับคำสั่งเสียก่อนที่ท่านจะมรภาพว่า ให้เอา พระที่ท่านสร้าง และให้นายเทศ สร้างพระเพิ่มให้ครบ 84000 องค์ แล้วนำไปบรรจุที่เจดีย์วัดเกศไชโย จังหวัดอ่างทอง ดังนั้น กรุที่วัดเกศไชโย จึงเป็นรูปสมเด็จ ชนิดฐาน 7 ชั้น เป็นส่วนมาก
โดยเตือน คนในวงการตลาดพระว่า พระที่ไม่ปรากฎหลักฐาน และพิมพ์ไม่เป็นที่นิยมในวงการ ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่เกินไป หรือ มีขนาดหรือเล็กเกิดมาตรฐาน หรือเนื้อไม่ถึง พิมพ์ผิด แม้จะมีโอกาสเป็นพระแท้ แต่ตลาดไม่เป็นที่ต้องการ ขณะที่พระสมเด็จวัดระฆังนั้น ไม่ใช่พระกรุ จึงต้องไม่มีคราบกรุ หรือดิน จับตามผิว อย่างสมเด็จบางขุนพรหมที่เป็นพระกรุ
อย่างไรก็ดี พระเครื่องสมเด็จนั้นทำปลอมมาตั้งแต่ ท่านยังมีชีวิต และท่านก็ไม่ได้ทำแจกหรือพิมพ์ออกมาให้เช่าอย่างทุกวันนี้ ท่านจะมอบให้เฉพาะคนที่ท่านเห็นสมควรเท่านั้น จึงให้ ดังนั้น บุคคลใดแม้จะได้รับมรดกมาก็ตาม ของชิ้นนั้นอาจไม่ใช่ของแท้ก็ได้
ราคาสมเด็จวัดระฆัง
โดยสมัยที่สนามพระยังอยู่ขอบสนามหลวง พระสมเด็จวัดระฆังยังมีราคาเช่าเพียง 10 บาท โดยยุคนั้น พระกิ๋มตึ๋ง ยังมีราคาเช่าแพงกว่า อย่างไรก็ดี ยุคนั้น หากไม่ใช่คนมีฐานะแล้ว แม้พระจะมีค่าเช่าเพียง 1 บาทก็ถือว่า ราคาสูงมากแล้ว ในปี 2485 ราคาพุ่งขึ้นไป ถึงองค์ละ1500-2000 บาท ยุคนี้เองที่พระปลอมเริ่มรุ่งเรืองอย่างมาก ถัดมาปี 2505 ราคาเช่าก็ไปถึง 7000-10000 บาท ถัดมาไม่กี่ปี คนในวงการพระเครื่องก็ปิดประตู ที่ได้เห็นพระสมเด็จแท้ๆ เพราะพระสมเด็จแท้ๆ ส่วนใหญ่อยู่ในมือคนที่มีฐานะหมดแล้วทั้งสิ้น โดยราคาในปี 2509-2510 ก็พุ่งไปเกิน 30000 บาท พอราคาปี 2514 ก็พุ่งไปเกินแสนเลยทีเดียว และครั้งนี้เอง ถือเป็นการปิดประตูสำหรับ เซียนพระที่หวังจะเจอ คนที่ไม่รู้เรื่องพระครอบครอง พระสมเด็จแท้อีกต่อไป และไม่มีทางที่ท่านจะได้พระสมเด็จแท้ๆ ในราคาหลักร้อย หรือพัน อีกต่อไป เพราะพระทั้งหมด ถูกย้ายไปอยู่ในคนที่มีฐานะทางการเงินหมดแล้ว
ต้องเน้นกันอีกครั้งว่า พระสมเด็จ ที่มีขนาดองค์โตกว่าปกติ ที่หลายคนเชื่อว่าแท้ แม้ว่าจะเป็นพระสมเด็จพิมพ์พิเศษ ตามที่กล่าวไปข้างต้นนั้น แต่ในวงการพระเครื่องไม่นิยม และพระสมเด็จ นั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก แม้จะเป็นพระหัก ก็ยังมีราคาเช่ากันหลายพัน หลายหมื่นบาท และก็มีผู้นำพระหักเหล่านั้นไปแกะสลักใหม่ เพื่อใช้ห้อยคอ แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ การนำเศษพระเก่าในยุคเดียวกัน มาผสมใหม่ ด้วยวิธีการใช้น้ำมันหรือน้ำผึ้ง เป็นตัวผสานใหม่ ซึ่งการจะดูเนื้อจึงต้องมีการสังเกตที่เนื้อผิวเพิ่มอีก เช่นหากผิวแห้งมากก็อาจเป็นพระปลอมพิมพ์นี้ด้วย
พุทธคุณพระสมเด็จ
ประโยคที่ว่า “ถ้าใครมีพระสมเด็จติดตัวอยู่ จะไม่มีการตายโหงเกิดขึ้นเป็นอันขาด” ในปี 2507 มีนักเลงพระชือ วันชัย ถูกยิงเผาขน พรุนไปทั้งตัว ร่างกายได้รับบาดแผลฉกรรจ์ แต่ปรากฎว่า นักเลงผู้นั้น ยังมีชีวิตอยู่ดูโลกต่อไปได้
นอกจากนี้ หากใครรับราชการ ก็มักจะโชคดีได้เป็นคนระดับหัวหน้า และหากเป็นเศรษฐีก็จะได้เป็นมหาเศรษฐี จนทุกคนเชื่อว่า หากผู้ใดมีพระสมเด็จ ผู้นั้นหวังประสงค์สิ่งใด ก็มักได้ผลตามที่จิตปรารถนา ไว้ทุกประการ
สมเด็จบางขุนพรหม
สมเด็จวัดใหม่บางขุนพรหม หรือ สมเด็จบางขุนพรหม ถือว่า มีราคาด้อยลงบ้าง แต่พุทธคุณไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน โดยเริ่มต้นจากเสมียนตราด้วง หรือ เสมียนตราเจิม บิดาของพระอักษรสมบัติ บ้านบางขุนพรหม ได้สร้างเจดีย์วัดองค์ใหญ่ขึ้นเพื่อใช้บรรจุอัฐิของวงศ์สกุล และได้วางแผนสร้างพระพิมพ์เป็นจำนวนมากเพื่อบรรจุไว้ใน พระเจดีย์ จึงได้ไปขอผงทำพระจากพระสมเด็จ มาหนึ่งบาตร จากนั้นเอาผงคลุกเคล้ากับปูนขาว และน้ำมัน โขลกต่อนหน้าสมเด็จพุฒาจารย์ ที่นิมนต์ไปฉันเพลที่วัด อินทราวิหาร เมื่อเสร็จพิธี ก็นำพระทั้งหมด บรรจุในเจดีย์วัดใหญ่ที่สร้างขึ้นทั้งหมด โดยเข้าใจว่า สร้างราวปี 2411-2413 ขณะที่วัดอินทรวิหาร ไม่ได้มีการสร้างพระเครื่องโดย พุฒาจารย์ โต เลย มีแค่ พระพิมพ์สมเด็จที่สร้างโดยหลวงปู่ภู และพระสมเด็จรุ่นหลังที่สร้างโดย เผ่า ศรียานนท์ เท่านั้น)
ในปี 2411 ต้นตระกูล ธนโกเศศ คือ เสมียนตราด้วง ได้ทำการปฎิสังขวร์วัดครั้งใหญ่ พร้อมได้สร้างเจดีย์องค์ใหญ่ที่วัดใหม่อมตรส และได้นิมนต์ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จ ไปทำพิธีสร้างพระสมเด็จ ที่วัดอินทรวิหาร เป็นจำนวนพระถึง 84000 องค์ เมื่อพิธีสร้างเสร็จสิ้น พระทั้งหมด จึงได้บรรจุลงในเจดีย์องค์ใหญ่ ที่วัดใหม่อมตรส
ทำให้มีการเจาะเจดีย์ แล้ว ตกพระ (คือไม่ต้องเข้าไปในเจดีย์) ทำให้พระสมเด็จส่วนหนึ่ง เชื่อว่านับพันองค์ถูกตกออกมา หลายพันองค์ โดยในปี 2436 ที่เกิดฝรั่งเศสนำเรือรบมาปิดอ่าวไทย ทำให้ผู้คนกลัวสงครามจึงได้เสาะแสวงหาพระเครื่องเป็นการใหญ่ ทำให้มีการตกพระรอบสอง โดยครั้งนี้มีพระหลุดจากกรุมานับหมื่นองค์
และยังทำให้ชำรุดเสียหายอีกประมาณ 50%
ครั้งที่ 3 `ในปี 2449 นับเป็นการตกพระกรุครั้งยิ่งใหญ่ ผู้คนต่างแห่ไปตกพระ
ครั้งสุดท้ายนี้ นักตกพระต่างเอาน้ำเทเข้าไปในเจดีย์ แล้วตกพระ ทำให้พระหักเสียหายเกือบหมด ทำให้เจ้าอาวาสไม่พอใจ สั่งเทปูนปิดรูเจดีย์ทั้งหมด
โดยทั้งหมดเรียกพระกรุเก่า
ช่วงสงครามโลกคร้งที่ 2 นี้ นักตกพระ เอาอีกครั้ง ครั้งนี้นักตกพระเจาะเจดีย์ทำให้เจดีย์เป็นรูใหญ่ ครั้งนี้เอง ที่นักตกพระได้พระไปเป็นปี๊ปเลยทีเดียว และทำให้วัดต้องมีการเฝ้าเวรยามตลอด 24 ชั่วโมง และทำให้คณะกรรมการวัด มีมติเปิดเจดีย์ เพื่อนำพระมาปล่อยเช่า เป็นการบำรุงวัด เพื้อป้องกันการกระทำของพวกมือตกพระ ครั้งนั้นได้เชิญ ประภาส จารุเสถียรมาเป็นประธานเปิดกรุ ต่อหน้าประชาชน โดยทางวัดได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ได้พระ 2950 องค์ โดยเศษที่แตกหัก ทางวัดได้เก็บรักษาไว้ และนำมาผสมในพิธีฝังทองลูกนิมิต โดยพระที่สภาพสมบูรณ์ ทางวัดจะตีตราเจดีย์ด้านหลังพระสมเด็จทุกองค์ เพื่อยืนยันว่า พระชุดนี้ไม่ใช่ของขโมยออกจากวัด แต่ที่เจ็บใจก็คือ พระที่เปิดในครั้งนั้นกลับเก๊เกือบทั้งหมด
ทำให้วงการพระ เชื่อกันว่า ในตกพระครั้งสุดท้ายนั้น ไม่น่าจะมีพระแท้เหลือยู่แล้ว ดังนั้นการเปิดกรุในปี 2500 นั้นไม่น่ามีพระแท้เหลือยอยู่แล้ว จะมีก็แต่พระหักเท่านั้น นอกจากนี้ ทางวัดประกาศว่า มีพระเพียง 2590 องค์ในครั้งแรก เพียงแค่วันแรกก็มีผู้ศรัทธาไปจองนับหลายพันคน แต่ยังคงมีจำหน่ายเรื่อยมาจนถึงปี 2511 นับเป็นเวลา 10 ปี เลยทีเดียว
นั่นเองทำให้พระกรุเก่าใน พิมพ์สมเด็จบางขุนพรหม นั้น นิยมในพระกรุเก่ามากกว่า กรุใหม่ราคาห่างกันถึง 30 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว และมีถึง 9 พิมพ์
และพระสมเด็จบางขุนพรหมนี้ถือว่า เป็นพระที่มีการทำเลียนแบบมากที่สุด ในตลาดพระเลยทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น