Advertising

..

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง บางขุนเทียน

วัยเยาว์
หลวงพ่อไปล่ ท่านเป็นชาวบางขุนเทียน เกิดในปี 2403 ในรัชกาลที่ 4 ในสกุลทองเหลือ พื้นเพเป็นชาวบ้าน ตำบลบางบอนใต้ เขตบางขุนเทียน เป็นบุตรของนายเหลือและนางทอง มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน 5 คน

ในเยาว์วัยได้เรียนหนังสือไทยและหนังสือขอม กับอาจารย์ทัด วัดสิงห์ เมื่อเป็นฆราวาสท่านเป็นคนมีร่างกายแข็งแรง มีจิตใจกล้าหาญ เป็นคนกว้างขวาง มีสมัครพรรคพวกมาก ซึ่งในยุคนั้นบ้านบางบอนเป็นดินแดนของนักเลงหัวไม้ เวลามีงานวัดยกพวกตีกันเป็นประจำ นายไปล่จึงนับว่าเป็น ลูกพี่ของคนในหมู่บ้านนั้น

บรรพชา

ต่อมาอายุ 23 ปี ท่านอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดกำแพง อาจารย์ทัด วัดสิงห์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อพ่วง วัดกก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อดิษฐ์ วัดกำแพง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีนามฉายาว่า “ฉันทสโร” หลวงพ่อไปล่เมื่อวัยหนุ่ม ท่านมีความสนใจในทางวิชาอาคม โดยได้เดินทางไปเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น เรียนทางคงกระพันชาตรีกับพระอาจารย์คง เรียนวิชาผูกหุ่นพยนต์กับหลวงพ่อหรุ่น วัดบางปลา เรียนทางเมตตามหานิยมกับหลวงพ่อพ่วง วัดกก เรียนทางสักยันต์คงกระพันกับหลวงพ่อดิษฐ์ วัดกำแพง

ท่านสามารถสวดปาติโมกข์ได้ตั้งแต่บวชได้พรรษาที่ 2  ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ในเขตบางขุนเทียน และเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือของผู้คนในละแวกบางขุนเทียนเป็นอย่างมาก จนถึงมรณะภาพเมื่อพุทธศักราช 2489

เรื่องเล่าขาน
เป็นเรื่องเล่าของคุณ เป็งย้ง ตลาดพลู ได้เล่าว่า มีพ่อค้าปลาคนหนึ่งมาจากบางบอน (ชื่อนายประเสริฐ) นำปลามาขายที่ตลาดพูล เป็นประจำทุกอาทิตย์ ตัว “นายเสริฐ” ใส่สายสร้อยทองเส้นใหญ่ เห็นได้สะดุดตา เมื่อมาเป็นประจำ ผู้คนจึงจำได้และรู้วัน-เวลาที่มา

วันหนึ่งมีคนร้ายสองคนมาดักจี้ด้วยปืน แกไม่ยอมถอดสร้อยให้และขัดขืน คนร้ายได้ยิงออกมาสองนัดแต่ยิงไม่ออก แกจึงเอามีดสำหรับทำปลาจะเข้าไปฟัน คนร้ายเห็นท่าไม่ดี รีบหนีข้ามคลองไป เรื่องนี้มีชาวตลาดพลูรู้เห็นกันอยู่มาก ปรากฏว่าพระที่อยู่ในสายสร้อยก็คือเหรียญหล่อหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง

พระพุทธคุณของเหรียญหล่อของหลวงพ่อไปล่ท่านจึงขึ้นชื่อในเรื่องมหาอุด คงกระพันชาตรี และเมตตามหานิยม เป็นที่นิยมของผู้คนในย่านบางบอน บางขุนเทียน มีเรื่องเล่าขานกันอยู่มาก ว่ากันว่าหากคนวัดกำแพงมีเหรียญวัดหนังแล้ว ถ้าใครมีเหรียญหลวงพ่อไปล่ไปขอแลกเขาจะยอมแลกทันที ที่เป็นความนิยมของเหรียญหลวงพ่อไปล่ซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณ

วัตถุมงคล
การสร้างพระเครื่อง  มี 3 ครั้ง

ครั้งแรก  ด้วยทางวัดขาดแคลนน้ำดื่มเป็นประจำทุกปี แม้ว่าจะมีตุ่มน้ำมากพอสมควรก็ตาม แต่ไม่พอให้พระเณรและเด็กวัดใช้ดื่มกินได้ตลอดปี จำเป็นต้องเอาเรือขนาดใหญ่ไปบรรทุกน้ำจืดจากคลองบางขุนเทียนเอามาใช้ดื่มกินกันในฤดูแล้ง ทั้งไม่มีความสะอาดมากนัก คณะกรรมการของวัดจึงคิดสร้างถังน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่สักลูกหนึ่ง เพื่อไว้ใส่น้ำฝน พวกคณะกรรมการขอให้หลวงพ่อสร้างพระเครื่องแจกแก่ผู้ที่มาบริจาคเงินสร้างถังน้ำเป็นการสมนาคุณ นอกจากบุญกุศลอีกส่วนหนึ่งด้วย ในการสร้างพระเครื่องครั้งนั้นได้มีการเรี่ยไรทองเหลืองทองแดง ทองลงหิน จากบรรดาลูกศิษย์ และผู้ที่เครารพนับถือหลวงพ่อ ผู้ที่มีข้าวของเครื่องใช้ที่ชำรุดเสียหายใช้การไม่ได้แล้วเช่น ขันน้ำ ขันตักบาตร ถาด พาน ฯลฯ ต่างก็พากันเอามามอบให้แก่คณะกรรมการ เพื่อจัดการหล่อหลอมทำพระเครื่องต่อไป การจัดทำพระเครื่องครั้งแรกนั้นได้มีการออกแบบทำพิมพ์เป็น ๓ แบบด้วยกันคือ

๑. แบบซุ้มประตูโบสถ์ ซึ่งในเวลานั้นซุ้มประตูโบสถ์และวัดกำแพงยังชำรุดเสียหาย เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านบนโค้งมน (ซุ้มประตูและกำแพงที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้เพิ่งสร้างขึ้นใหม่) ด้านหน้ามีรูปหลวงพ่อไปล่ นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในซุ้มประตู ด้านหลังมีข้อความว่า “ที่ระฤก ๒๔๗๘” แบบนี้จัดทำให้ใหญ่กว่าแบบอื่นๆ จุดประสงค์เพื่อแจกให้กับผู้ชาย มีบางคนที่ไม่รู้ที่มาของแบบมักจะเรียกว่าแบบจอบ หรือ รุ่นจอบ เป็นการเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง มีนายพุ่ม อ่อนทรัพย์ เป็นผู้แกะแบบและควบคุมการเททอง ตบแต่งให้เรียบร้อย ได้พระไว้จำนวนหนึ่ง

๒. แบบรูปไข่ มีรูปหลวงพ่อไปล่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางขอบด้านหน้า ส่วนด้านหลังมีข้อความว่า “ที่ระฤก ๒๔๗๘” และแบบ "ด้านหลังเป็นรูปเจดีย์" แบบนี้จัดทำขึ้นเพื่อเอามาแจกสุภาพสตรี นายประดิษฐ์ (ไม่ทราบนามสกุล) ท่านผู้นี้เป็นช่างก่อสร้างทำถังน้ำ เป็นผู้แกะแบบเททองและตบแต่งให้เรียบร้อย ได้พระไว้จำนวนหนึ่ง

๓. แบบใบเสมา ด้านหน้ามีรูปหลวงพ่อไปล่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน ด้านหลังมีตัวหนังสือขนาดเล็กมาก อ่านไม่ใคร่เห็น จัดทำขึ้นเพื่อแจกเด็กๆ มีพระเพิ่ม จันทร์เขียว (ขณะนั้นยังบวชอยู่) เป็นผู้แกะแบบควบคุมการเททอง และตบแต่งให้เป็นที่เรียบร้อยแบบนี้ทำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

พระทั้ง ๓ แบบ ที่กล่าวมาแล้วเป็นพระรุ่นเดียวกัน หลวงพ่อไปล่ ท่านเป็นผู้ปลุกเสกแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น หลวงพ่อไม่ได้นิมนต์เกจิอาจารย์จากวัดหนึ่งวัดใดมาร่วมแม้แต่รูปเดียว ท่านเอาพระทั้งหมดประมาณค่อนบาตรเท่านั้นเอง ท่านสมนาคุณแก่ผู้ที่บริจาคเงินสร้างถังน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กไม่ว่าใครจะบริจาคมากน้อยเท่าใด และจะได้ไปเพียงคนละองค์หรือสององค์เป็นอย่างมาก

การสร้างพระเครื่องครั้งที่ ๒ เนื่องจากปี พ.ศ. 2485 เกิดอุทกภัย น้ำท่วมมาก โรงเก็บศพในสุสานของวัด ถูกพายุคลื่นลมซัดเสียหายมาก ทั้งมีศพฝากเก็บไว้จำนวนมาก บางศพไม่มีญาติ บางศพมีญาติแต่ยากจนมาก ไม่สามารถที่จะเผาให้ถูกต้องตามประเพณีได้ตามลำพังตนเอง บางศพก็ฝังอยู่เป็นเวลาช้านานมาก ด้วยเหตุผลดังกล่าว คณะกรรมการของวัดจึงคิดจะทำการล้างป่าช้า และจัดการสร้างสุสานขึ้นมาใหม่แทนของเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมมาก แต่ว่าการก่อสร้างจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก คณะกรรมการจึงได้กราบเรียนหลวงพ่อ ขอให้ท่านจัดทำพระเครื่องสมนาคุณแก่ผู้ที่นำเงินมาช่วยในการล้างป่าช้า และปลูกสร้างสุสานใหม่

เนื่องจาก เป็นเรื่องฉุกละหุก ครั้นเวลากำหนดงานล้างป่าช้าเข้ามามากแล้ว จนไม่มีเวลาที่คิดจะออกแบบและทำแบบได้ทัน มีคณะกรรมการคนหนึ่งเสนอให้ขอยืมแบบของ อาจารย์รุ่ง วัดท่ากระบือ จังหวัดสมุทรสาคร มาเป็นแบบ ซึ่งเป็นรูปหน้าตัดโบสถ์ในพุทธศาสนาหรือจะพูดว่าแบบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นฐาน แล้วต่อด้วยสามเหลี่ยมหน้าจั่วด้านบน มีพระพุทธรูปนั่งอยู่ตรงกลาง ด้านหลังมียันต์ ๔ พระเครื่องรุ่นนี้เรียกกันว่า “รุ่นล้างป่าช้า” ซึ่งเป็นแบบที่ซ้ำกับแบบของวัดท่ากระบือ จนไม่สามารถจะบอกได้ว่า พระเครื่ององค์ใดเป็นของวัดท่ากระบือและองค์ใดเป็นของวัดกำแพง นอกจาก ผู้ที่เป็นเจ้าของเท่านั้น จึงจะบอกได้ถูกต้องตามความเป็นจริง พระเครื่องรุ่นล้างป่าช้า หลวงพ่อไปล่ปลุกเสกแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระเครื่องรุ่นนี้ทำค่อนข้างมากกว่ารุ่นแรก

การทำพระเครื่องครั้งที่ ๓ ในวันเข้าพรรษา ปี พ.ศ. 2487 ทางวัดจัดให้มีการหล่อเทียนเข้าพรรษาในตอนบ่าย หลังจากหล่อเทียนเสร็จแล้วผู้คนที่มาทำบุญ ต่างก็กลับบ้านกันหมดแล้ว หลวงพ่อได้เรียกผู้เขียนกับนายชอบ สังข์คุ้ม ให้ไปเอาใบลานซึ่งเขียนด้วยอักขระทั้งขอมและไทย ท่านมัดเอาไว้หลายสิบมัดด้วยกัน ท่านให้เอามาเผาที่เตาไฟหล่อเทียนความจริงผู้เขียนได้เห็นแล้วหลวงพ่อนั่งอ่านใบลานเหล่านี้มาหลายวันแล้วก่อนเข้าพรรษา แต่ไม่ทราบว่าท่านอ่านทำไม หลวงพ่อให้เผาใบลานในกระถางมังกร คือเอาใบลานจุดจากเตาเผาที่หล่อต้นเทียนเข้าพรรษาพอไฟลุกจึงนำใบลานที่ติดไฟใส่ลงไปในกระถางมังกรแล้วรีบเอากระถางที่ทำด้วยไม้สักปิดทิ้งระยะไว้เล็กน้อยจึงเปิดฝาออก ถ้ายังเหลือใบลานอยู่อีก ก็เอาคีมคีบจุดไฟแล้วใส่กระถางซ้ำอีก ได้เผาอยู่นานจนเกือบมืดจึงเผาเสร็จเรียบร้อย ได้เถ้าถ่านในใบลานเกือบครึ่งกระถางมังกร

งานศพ
ครั้นถึงเวลา ๒๒.๐๐ น. ตามกำหนดเวลาประชุมเพลิงเผาจริง พระสงฆ์จากวัดต่างๆ ลูกศิษย์ ผู้ที่เคารพนับถือในคุณความดีของหลวงพ่อไปล่ ต่างพากันขึ้นเมรุเผาศพหลวงพ่อไปล่ไม่ขาดสาย เนืองแน่นไปหมด ดอกไม้เทียน ตะไล ไฟพะเนียง และดอกไม้ไฟอื่นๆ ต่างก็จุดสว่างไสวทั่วลานวัด ดูสวยงานยิ่งนัก นอกจากพลุเท่านั้นที่เจ้าของแต่ละเจ้าไม่ยอมจุด ไม่ว่าจะเป็นพลุที่มีผู้มาหาช่วยหรือว่านำมาช่วยเองก็ตาม จากเหตุการณ์ที่จุดพลุไม่ติดและยิงปืนไม่ออก ในเย็นวันฌาปนกิจศพหลวงพ่อไปล่ครั้งนั้น ยังติดตราตรึงใจของผู้ที่ประสบมากับตนเอง และได้เล่ากันต่อๆมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้เวลาจะผ่านไป ๕๐ กว่าปีก็ตาม

ส่วนอัฐิเถ้าอังคารของหลวงพ่อนั้น ทางวัดได้เก็บรักษาไว้ส่วนหนึ่งและจัดทำไปตามประเพณีที่เรียกว่าลอยอังคารส่วนหนึ่งด้วย บรรดาศิษย์ของหลวงพ่อต่างมีความประสงค์อยากจะได้อัฐิเก็บไว้บูชาบ้างแต่คณะกรรมการไม่สามารถที่จะจัดแบ่งให้ได้พวกเขาจึงพากันไปเก็บเอา เศษฟืน เศษหยวกกล้วยที่แกะสลักประดับเชิงตะกอนวางโลงศพหลวงพ่อเอาไปบูชาด้วยความศรัทธา เคารพนับถือ และเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ตามความเชื่อถือของแต่ละบุคคล

เมื่องานฌาปนกิจศพหลวงพ่อไปล่ ผ่านพ้นไปไม่นานนัก คณะกรรมการได้จัดการปั้นรูปเหมือนเท่าตัวจริงของท่านขึ้นไว้ให้บรรดาลูกศิษย์และผู้ที่มีความศรัทธาเลื่อมใส เคารพนับถือ ได้กราบไหว้บูชา ซึ่งประดิษฐานอยู่ในศาลาจตุรมุขที่สง่างาม ได้มีการจัดงานที่ระลึกวันมรณภาพของหลวงพ่อเป็นประจำทุกปีตลอดมา เพื่ออุทิศบุญกุศลถวายท่าน ตราบเท่าทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น