Advertising

..

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Koolaudio : HTPC - ชิป DAC

Koolaudio : HTPC - ชิป DAC 

ชิปเซ็ต DAC มีหน้าที่แปลงสัญญาณ Digital ไปเป็นสัญญาณ Analog รวมถึงปรับปรุงคุณภาพของสัญญาณเสียง พบมากในอุปกรณ์เครื่องเสียง

นักเล่นเครื่อง DAC ระดับสูง ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่  เคสเครื่องต้องเป็นอลูมิเนียมที่สวยงาม และเพื่อป้องกันคลื่นรบกวน สายต่อออกต้องเป็น XLR  ขณะเดียวกัน นักเล่นหลายคนกลับให้ความสำคัญ กับชิปเซ็ต DAC มากกว่าส  แต่หลายคนมองว่า สิ่งรอบตัวชิปเซ็ตนั้นสำคัญและมีผลต่อเสียงมากกว่าชิปอีก ดังนั้น จะให้ความสำคัญกับชิปน้อยกว่า สิ่งที่อยู่รอบตัวมัน

แต่สิ่งที่บทความนี้จะพูดถึงคือ สเปคของชิปเซ็ต ที่อย่างน้อย ต้องเสียงรบกวนระดับไม่เกิน -120dB  (ซึ่งเป็นระดับที่หูคนจะไม่สามารถสังเกตได้แล้ว) และ นักเล่นมักจะให้ "ความเป็นอนาล็อก" และ เสียงที่อบอุ่นเป็นน้ำหนักสำคัญมากกว่า

ทำไมนักเล่นเครื่องเสียงบางคนให้ความสำคัญกับ DAC
เหตุผลเพราะ Digital นั้น มันจะไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่คลาดเคลื่อนจากต้นฉบับ นั่นคือ DAC เป็นจุดเริ่มต้นของความเพี้ยนของ Analog นั่นเอง เพราะจุดกำเนิดย่อมต้องการทั้ง ความแม่นยำ รายละเอียด มิติของเสียงต่างๆ ที่ต้องการให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้นั่นเอง ขณะที่ความผิดเพี้ยนและเสียงรบกวนต้องน้อยมากๆ เพื่อให้เสียงที่สะอาดและเป็นธรรมชาติที่สุด 

โดยส่วนใหญ่ในเครื่องเล่น DAC ส่วนใหญ่จะมีการต่อกับภาคขยายบางส่วนไว้ด้วย นั่นคือ สิ่งรอบตัวที่นักเล่นเครื่องเสียงก็ให้ความสนใจเช่นกัน โดยเฉพาะการออกแบบวงจรภาคขยาย

แต่ ชิปเซ็ต DAC ในทุกยี่ห้อ ทุกรุ่น มันจะมีจุดเด่น จุดด้อยต่างกันออกไป ดังนั้น มันค่อนข้างยากที่จะระบุลงไปว่า ชิปเซ็ต DAC ตัวไหนดีที่สุด เพราะมันขึ้นอยู่กับความชื่นชอบส่วนตัว และงบประมาณมากกว่า





 

 

 6. คุณสมบัติและประโยชน์ของชิปเซ็ต DAC ที่ดีที่สุด

ชิปเซ็ต DAC เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบเสียงคุณภาพสูง พวกเขามีหน้าที่ในการแปลงสัญญาณดิจิตอลให้เป็นสัญญาณอนาล็อก ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตเสียงที่มีความเที่ยงตรงสูง ในฐานะผู้ชื่นชอบเสียง สิ่งสำคัญคือต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับชิปเซ็ต DAC ประเภทต่างๆ ที่มีจำหน่าย รวมถึงคุณสมบัติและคุณประโยชน์ ของชิปเซ็ตเหล่า นั้น


1. ชิปเซ็ต DAC Burr-Brown

Burr-Brown เป็นแบรนด์ชิปเซ็ต DAC ยอดนิยมที่มีมานานกว่า 60 ปี เป็นที่รู้จักใน ด้านประสิทธิภาพเสียงคุณภาพสูงและระดับความผิดเพี้ยนต่ำ โดยทั่วไปแล้วชิปเซ็ต Burr-Brown DAC จะพบได้ในอุปกรณ์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ และผู้ที่ชื่นชอบเสียงออดิโอไฟล์ชื่นชอบในเรื่องคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม ข้อดีอย่างหนึ่งของชิปเซ็ต Burr-Brown DAC คือความสามารถในการจัดการไฟล์เสียงความละเอียดสูง ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตเสียงคุณภาพสูง


2. ชิปเซ็ต ESS Sabre DAC


ESS Saber เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ยอดนิยมของชิปเซ็ต DAC ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ชื่นชอบเสียงจำนวนมาก ชิปเซ็ต ESS Sabre DAC ขึ้นชื่อในด้านช่วงไดนามิกที่ยอดเยี่ยมและระดับเสียงรบกวนต่ำ นอกจากนี้ยังสามารถจัดการไฟล์เสียงที่มีความละเอียดสูงได้ และมักพบในอุปกรณ์เสียงระดับไฮเอนด์ ข้อดีอย่างหนึ่งของชิปเซ็ต ESS Sabre DAC คือความสามารถในการสร้างเสียงที่มีรายละเอียดสูงและแม่นยำ ซึ่งจำเป็นสำหรับนักออดิโอไฟล์ที่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด



DAC ชิปจะมีหลายยี่ห้อ ดังนี้

1. Asahi Kasei Micro devices (เป็นชิปสัญชาติ ญี่ปุ่น) ถือเป็นผู้ผลิตชิปเซ็ต DAC ระดับสูง โดยเฉพาะ AK4497EQ ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม ระดับความผิดเพี้ยนต่ำ และการรองรับรูปแบบเสียงที่มีความละเอียดสูง 

ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการเสียงแบบอบอุ่นเป็นธรรมชาติ มันมักจะอยู่ในเครื่องเสียงระดับกลางๆ ที่เป็นที่นิยม

AKM AK4499 เปิดตัวในปี 2019 ได้รับการยกย่องอย่างสูงในวงการ ความละเอียดระดับ 32Bit  768kHz  140dB SNR และ -124dB THD+N  (รุ่นเรือธงในปี 2020 มักถูกเทียบกับ ESS9038 และ ESS9068)
AKM AK4493EQ เปิดตัวในปี 2018 (มันถือเป็นตัว อัพเกรดของ AK4490EQ  (มันถูกนำไปเทียบกับ AK4497 อย่างเลี่ยงไม่ได้ ) แต่สเปคต่ำกว่า AK4497 โดยสเปคคือ  123dB SNR และ -113dB THD+N 
AKM AK4497 เปิดตัวในปี 2016  ราคาค่อนข้างแพง โดยได้สเปคถึง 32bit 768kHz และ 128 dB SNR และ -116 dB THD+N
AKM AK4490EQ เปิดตัวในปี 2014  ได้สเปคคือ 120dB SNR และ  -112dB THD+N  (ตัวนี้มักเป็นมาตรฐานสำหรับชิป DAC ของ Asahi Kasei
AKM AK4452
AKM AK4399


2. ESS Tech ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการ Performance และถือเป็นชิปเซ็ตระดับไฮเอ็นด์ โดยเฉพาะ ชิปซีรีย์ ESS sabre ที่ถือว่าเป็นระดับเรือธงทุกตัว

บริษัทแบ่งระดับ ชิป เป็นออกเป็น 
1. Sabre 2008
2. Sabre Hifi  2014 รหัสต่อท้ายจะเป็น Q2M ซึ่งเน้นใช้งานมือถือ ทำให้ มันเน้นไปที่การกินไฟที่น้อยเป็นหลัก
3. Sabre Pro 2019 จะถือว่า บริษัทต้องการสร้าง ชิป DAC ระดับ เรือธง เพื่อสร้างมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรม และถือว่า ในปีนั้น ES9039PRO และ ES9027PRO คือ เรือธง 

โดยตัว Pro จะแตกต่างจาก ตัว Hifi หรือ Q2M คือ มันจะมีชิป 8 ตัวในชิป 1 ตัว ซึ่งต่างจาก Q2M ที่มีชิปแค่ 2 ตัวเท่านั้น 

รุ่น PRO 8 Channel

ES9039PRO 32-bit Flagship Ultra High Performance 8-Channel DAC (สเปค 140dB SNR)

ES9038PRO 32-bit 8-Channel Audio DAC with 140dB DNR

ES9028PRO 32-bit 8-Channel Audio DAC with DNR up to 133dB

ES9027PRO 32 bit High-Performance 8-Channel DAC

ES9026PRO 32-bit 8-Channel Audio DAC with DNR up to 128dB

รุ่น 8 Channel ธรรมดา

ES9017 32-bit High-Performance 8-Channel DAC

ES9080 8 Channel SABRE DAC with built in line drivers

ES9018 32 Reference 32-bit 8-Channel Audio DAC

SABRE9006A Premier 8-channel Audio DAC


รุ่น Hifi 2 Channel ระดับ AudioPhile

ES9068AS 32bit Stereo Audiophile DAC/CODEC with MQA Rendering

ES9033Q 32bit stereo audiophile DAC with line drivers

ES9023P  24bit stereo audio DAC

รุ่น Hifi 2 Channel ระดับเน้นประสิทธิภาพ

ES9038Q2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC with 129dB DNR

ES9028C2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9028Q2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9018C2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9018K2M 32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9016K2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9010K2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

 
3. Analog Devices
ถือเป็น แบรนด์เก่าแก่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะ AD1955 ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง 

- AD1955 

- AD5791BRUZ

4. Burr-Brown 
ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการเสียงที่มีรายละเอียดมาก ถือเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในวงการเครื่องเสียงมายาวนาน ในอดีต DAC ของพวกเขาได้รับการยกย่องมาโดยตลอด แต่ชิปเซ็ตอของพวกเขา อยู่ตั้งแต่ระดับไฮเอนด์ ถึงระดับล่างเลยทีเดียว

PCM1798 24 Bit (ข้อดีคือ มันสามารถเปลี่ยนชิป จาก PCM1794 2 Channel  เป็น PCM1798 5.1 Channel ได้เลย แต่หลายคนว่า เสียงมันไม่ต่างกัน ) 

PCM1796 24Bit 123dB SNR
PCM1795 32bit 192Hz  dynamic 123 dB 
(มันอยู่ใน Onkyo DA-1000)
PCM1704 มันถือเป็นรุ่นเรือธงในอดีต 
PCM1702
PCM63


5. Cirrus Logic

- CS43198 32Bit 137dB SNR

- CS43131
- CS8416 (Fx-Audio Dac X6)
- CS4398 (Fx-Audio Dac X6)

6. Wolfson
ถือว่าชิปเซ็ตสัญชาติอังกฤษ ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ โดยเฉพาะชื่อเสียงด้านความเพี้ยนที่ต่ำ และอัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวนสูง ทำให้ผู้รักเสียงเพลงค่อนข้างชื่นชอบ

WM8741 2 24bits 192db SNR

WM8740 2 24bits 116dB SNR



การเพิ่มประสิทธิภาพ DAC เพื่อให้ได้เสียงที่ดีที่สุด

1. เลือกชิปเซ็ต DAC ที่เหมาะสม

การเลือก ชิปเซ็ตที่เหมาะสมในตลาด 

2. แหล่งจ่ายไฟ

แหล่งจ่ายไฟเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพชิปเซ็ต DAC ของคุณ แหล่งจ่ายไฟ ที่สะอาดและเสถียรสามารถปรับปรุงคุณภาพเสียงของเอาต์พุตเสียงของคุณได้อย่างมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแน่ใจว่าชิปเซ็ต DAC ของคุณมีแหล่งจ่ายไฟคุณภาพสูงเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงรบกวนหรือการบิดเบือน นอกจากนี้ การใช้แหล่งจ่ายไฟภายนอกยังช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงของเอาต์พุตเสียงของคุณ ได้

3. ใช้สายเคเบิลคุณภาพสูง

การใช้สายเคเบิลคุณภาพสูงสามารถปรับปรุงคุณภาพเสียงของเอาต์พุตเสียงของคุณได้อย่างมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สายเคเบิลที่มีความต้านทานต่ำและมีฉนวนหุ้มเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนใดๆ นอกจากนี้ การใช้สายเคเบิลที่สั้นลงยังสามารถช่วยลดสัญญาณรบกวนได้อีกด้วย

4. ลดการรบกวน

การลดการรบกวนเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเพิ่มประสิทธิภาพชิปเซ็ต DAC ของคุณ จำเป็นต้องวางชิปเซ็ต DAC ของคุณให้ห่างจากแหล่งที่มาของการรบกวน เช่น เราเตอร์ ไมโครเวฟ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อื่นๆ นอกจากนี้ การใช้หม้อแปลงแยกยังสามารถช่วยลดสัญญาณรบกวนได้อีกด้วย




วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Koolaudio - การอัพเกรด OpAmp

Koolaudio  - การอัพเกรด OpAmp

OpAmp หรือ Operating Amplifier คือ วงจรรวม เพื่อใช้ อัพกระแส (โดยปกติ มันคือวงจรที่ประกอบไปด้วย Transitor อยู่ภายในจำนวนมาก มันคล้ายๆ กับชิปคอมพิวเตอร์ที่มี Transitor อยู่ในนั้นจำนวนมากเช่นกัน)

โดยมากมักมี 8 ขา ซึ่งนัก DIY ด้านเครื่องเสียง มักจะหาซื้อมาอัพเกรดเครื่องกัน แต่ถ้าให้ดีต้องตรวจเช็คจาก DataSheet ด้วย เพราะไม่งั้นเปลี่ยนไปอาจจะช๊อตเสียหายได้

วิธีดู OpAmp มีกี่ชนิด สเปคและ Feature ของมัน
1. VS รองรับแรงดันเท่าไหร่ (ปกติจะมีตั้งแต่ 9V-20V ตรงนี้ต้องเช็คให้ดี)
2. ไฟขาเข้าเป็นแบบไหน (Bi-Polar  JFET หรือ CMOS โดย CMOS จะเป็นระบบใหม่ที่สุด) 
3. Dual หรือ Single (ภายในจะมี 2 ตัว หรือ 1 ตัว)
4. High Slew rate (หน่วยเป็น Volt/เวลา ) ความหมายคือ ใช้เวลาในการขยายเร็วขนาดไหน ยิ่งมากยิ่งดี 
5. Low Noise (สัญญาณรบกวนต่ำ) หน่วยเป็นแรงดัน(V) ต่อความถี่(Hz)  นอกจาก สัญญาณรบกวน ภายในตัวมันเองต้องต่ำแล้ว วงจรต้องออกแบบมาดีด้วย จึงจะได้ Noise ที่ต่ำ
6. Low Distrotion (ความเพี้ยนต่ำ) หน่วยเป็น เปอร์เซนต์ ตัวนี้ เป็นการขยายที่วัดว่า ได้กราฟเพี้ยนไปจากเดิมเท่าไหร่ (รุ่นใหม่ๆ จะมีความเพี้ยนที่น้อยลงมาก)
7. Low Offset Voltage สัญญาณเข้าเป็น 0 สัญญาณออกจะมีเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นระดับ มิลลิโวลท์ไปแล้ว
8. Short Cucuit Protection มีวงจรป้องกันการช๊อตภายในหรือไม่ (ถ้าช๊อต มันจะตัดเป็น Mute ทันที) 
9. Low Power Consumption กินไฟน้อย (ถ้าเป็นแอมป์ รถ อาจมีผล ต่อแอมป์บ้านไม่ต้องพิจารณาก็ได้)
10. Single Supply , Dual Supply คือการเดินไฟเข้า แบบ 1 กับแบบ 2 (ไม่มี -)

ส่วนใหญ่จะใส่ ในส่วนของ Input (ต่อแชนแนล) กับ Output ขณะที่ หากมี Sub ก็จะมีเพิ่มขึ้นมาอีกตัว

Opamp มี 2 อย่างคือ Tone Pre (กินไฟเยอะ แต่ออกน้อย เน้นคุณภาพ) กับ Tone Power(ไฟต่ำแต่ออกเยอะ ไม่เน้นคุณภาพ)

โดยจะเน้นไปที่ OpAmp เซรามิกเป็นหลัก จะได้เสียงที่ดีที่สุด (มันทำขึ้นมาเพื่อป้องกัน High Speed  Oscillation)

การอัพเกรด ก็จะต้องดูว่า เป็นรุ่นที่ดึงได้เลย หรือต้อง บัคกรีขา โดยสังเกตทิศทางจาก รอยแง่งเป็นหลัก

- Burson V6 Classic มันเป็น discrete opamp แต่ถูกวิจารณ์ว่า มันถือเป็น OpAmp ระดับสูง ที่ไม่รู้จะติอะไร 

-Muse8920 มันคือตัวอัพเกรดของ 8820 โดยมีการใส่วงจร JFET เข้าไปในตัวด้วย อย่างไรก็ดี มันเป็นทางเลือกสำหรับคนที่เกลียดเสียงแบบดิจิตอลจ๋า ก็หลบมาใช้ OpAmp ตัวนี้เช่นเดิม

-Muse8820  คำวิจารณ์คือ หากใครต้องการเสียงแบบ แอมป์หลอด นี่คือ OpAmp ในฝัน ในงบที่จำกัด ข้อเสียคือ มันมีเสียงรบกวนที่ค่อนข้างชัด

- OPA1656  และ 2156 ถือเป็น OpAmp ที่สูงที่สุดของ Burr Brown  (ในปี 2020) โดยมันเป็น CMOS Opamp โดยมักจะใช้ OPA1656 กับปรีแอมป์ หรือ DAC  และใช้  OPA1642/1652 หรือ OPA861 กับแอมป์ จะเป็นที่่ได้รับความนิยมอย่างมาก

อย่างไรก็ดี การอัพเกรดตัวนี้ ตามเสปคมันจะต้องโหลด Capacitor 100pF ซึ่งมันอาจต่างจาก OpAmp ตัวอื่น ทำให้การสับเปลี่ยนอาจไม่ได้ผลที่ดีเท่าที่ควร

ที่สำคัญคือ การจะอัพเกรดมันจาก OpAmp รุ่น 5532 หรือ 2134 ต้องการ Adaptor เพื่อแปลงขาก่อนถึงใส่มันได้ 

- OPA1622 มันถูกออกแบบมาให้เป็น OpAmp สำหรับหูฟัง ทำให้มันทนทานต่อ อิมพีเดนซ์ต่ำได้ดีกว่า และไม่แนะนำให้เอาไปใช้ใน ปรีแอมป์

-OPA2604/604  มันเป็น Op-amp ที่ถูกยกให้เหนือกว่า 5532 แล้ว แต่มันแพงกว่า 5532 เพียงนิดเดียว

ตัวนี้มักถูกนำไปเทียบกับ OPA2134 แม้สเปกจะดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น แต่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่มักจะบอกว่า เสียงที่ได้มันไม่ต่างกับ OPA2134 เลย แต่ตามสเปกแล้ว มันจะต่างก็ต่อเมื่อหมุนปุ่มโวลุ่มไปที่ดังมากๆ เพราะ OPA2604 จะรองรับกระแสได้มากกว่า และอัตรา Slew rate ที่สูงกว่า ดังนั้นเสียงมันจะกระชับกว่า โดยหากใครใช้ 2134 แล้วฟังเพลงเบาๆ ไม่แนะนำให้อัพเกรดเป็นตัวนี้ เพราะจะเหมือนกับเสียเงินฟรี

แต่ถ้าเอามันไปเปรียบกับ OPA1612 สิ่งที่ต่างชัดๆ คือ มันจ่ายไฟเข้าแบบ CMOS (ไม่ใช่ทั้ง FET และ Bi Polar) ซึ่งเป็นระบบที่ใหม่กว่า จุดนี้เองที่นักวิจารณ์เครื่องเสียงบอกว่า มันอาจเป็นจุดจบของ FET และ Bi Polar 

อย่างไรก็ดี มันก็ถูกยกให้เป็น OpAmp ที่ควรค่าแก่การอัพเกรด เสียงค่อนข้างเป็นกลาง แต่รายละเอียดดีมาก 

- OPA637/627 ถือเป็น OpAmp ราคาแพง ที่ฝรั่งชื่นชมกันมาก ถือเป็นตัว Top ในอดีตของ Burr Brown เพราะมันถูกผลิตด้วยเลเซอร์แล้ว ทำให้มันมีความแม่นยำสูงมาก ความผิดเพี้ยนก็ต่ำมากๆ 

ตามเสปกแล้ว มันเหนือกว่า 2134 เกือบทุกด้าน  แต่ความจริงมันคือตัวอัพเกรดของ 2604 อย่างแท้จริง แต่ น้ำเสียงของมันกลับไปคนละทางกับ 2134 เลย โดย เสียงของมันจะมีน้ำหนัก และ บอดี้โดยเฉพาะเสียงแหลมที่มีมากกว่าอย่างชัดเจน แต่มันก็มาพร้อมกับเสียงรบกวนที่มากกว่า เช่นกัน จนหลายคนว่า มันไม่สามารถฟังเพลงได้นานๆ เมื่อเทียบกับ 2134 เพราะ 2134 เสียงมันดีอยู่แล้ว ใครที่ใช้ 2134 จึงไม่สามารถเปรียบเทียบได้ ว่าควรอัพเกรดหรือไม่ ?

ขณะที่มันถูกนำไปเทียบกับ MUSE003 มันกลับเหนือว่า ที่ความถี่สูงอย่างชัดเจน (กราฟของ 003 จะเริ่มเพี้ยนมากกว่า)

-AD838 มันเหมาะกับเสียงแบบ อนาล็อกมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อใช้กับภาค Phono

-AD712

-OPA2156  ถือเป็นตัวอัพเกรด ของ OPA2134 สัญญาณรบกวนน้อยกว่า บอร์ดแบนด์สูงกว่า แรงดันออฟ เซ็ตก็ต่ำกว่า อัตรา Slew ก็สูงก่วา 2134 ถึง 1 เท่าคือ 40 เลย

เรียกได้ว่า OPA2156  มันเป็นรุ่นปรับปรุงเกือบทุกด้านของ 2134 เลยทีเดียว

- OPA2134/134  มันถูกพัฒนาต่อจาก OPA275 มันถูกยกให้เหนือว่า TL072 เพราะเรื่องการกินไฟ และอื่นๆ อย่างน้อย และถือเป็น OpAmp สมัยใหม่แล้ว ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Opamp ที่มีความซับซ้อนของวงจร (เพราะมันรวมวงจร FET เข้าไปในตัวมันด้วย ทำให้ Noise จากวงจรภายนอกกระทบน้อยกว่ามาก) แม้ว่ามันจะยังมีความเพี้ยนเยอะเมื่อเทียบกับ OpAmp สมัยใหม่กว่ามันก็ตาม (แต่ยังน้อยกว่า 5532 และ TL072) นักเล่นเครื่องเสียงกลับนิยมรุ่นนี้กันมาก (โดยปัจจุบัน นัก DIY หันมาชอบ 2156 กับ 2604 แทน )

โดยมันจะมีตัวอัพเกรด (ภายในใช้ของดีกว่าเท่านั้น คือ OPA2132 แต่ถ้ารหัสต่อท้ายเป็น Standard grade มันจะเท่ากับ 2134 ที่ไม่มีตัวอัพเกรด)

** การเอาไปอัพเกรดแทน 5532 อาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร ขึ้นอยู่กับการออกแบบวงจรด้วย เพราะ 5532เป็น Bi-Polar แต่อันนี้เป็นแบบ JFET (ที่ต้องการ input ต่ำกว่า 2kOhm) แต่ 90% มันสามารถอัพเกรดแทนได้ (เพราะ JFET สามารถใส่แทน Bi Polar ได้เกือบทั้งหมด) ซึ่งนัก DIY ส่วนใหญ่จะแนะนำมือใหม่ให้เริ่มต้น  Upgrade 5532 เป็นตัวนี้ไปก่อน

** OPA2134 2132 เป็น Dual OpAmp ซึ่งมันใช้ OPA132 OPA134 แทนไม่ได้ เพราะมันเป็น Single OpAmp 

- OPA2111 เป็น op-amp ที่จริงๆแล้วตามสเปกแนะนำให้ใช้เป็นเครื่องมือวัด Monitor เสียมากกว่าที่จะเป็นเครื่องเสียง เพราะมันมีเสียงที่ค่อนข้างเป็นกลางมากๆ โดนเน้นไปที่ตัวถังแบบเหล็ก โดยมันจะเด่นที่เสียงแหลมที่ไปไกลกว่า ใสกว่า และกังวาลกว่า

- OPA602 เป็น Single op-amp ที่คนขายแนะนำว่าเสียงดี (เป็นอดีตตัว Top ของ Burr Brown ก่อน OPA637)

- TL071 ,072  ถือเป็น Op-Amp เจ้าตลาดราคาถูกเช่นเดียวกับ 5532 แม้มันจะมีประสิทธิภาพสูงกกว่า 5532 ในเกือบทุกด้าน  ใช้พลังงานก็น้อยกว่า แต่นักวิจารณ์ทุกคน ระบุว่า น้ำเสียงสู้ 5532 ไม่ได้เลยในทุดด้าน  โดยตามสเปกแล้วมันมีจุดอ่อน คือ เมื่อเสียงดังขึ้นมันก็จะยิ่งเพี้ยนมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้น Opamp ตัวนี้เหมาะกับการฟังเพลง เล็กๆน้อยๆ เท่านั้น
 
- OPA 275 มันเป็น Opamp ระดับเครื่องเสียง มีค่าตัว 7 เท่าของ 5532 แต่มันกลับมีความเพี้ยนที่สูง และยังมีสัญญาณรบกวนที่สูง  แถมไม่ชอบความถี่ต่ำอีกด้วย

-AD797 มันราคาแพงกว่า 5532 20 เท่า แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า 5532 และการออกแบบก็ง่ายพอ ๆ กับ 5532 ก็ตาม มันยังมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า 5532 พอสมควรเท่านั้น

-LM4562 เปิดตัวในปี 2550 แต่ราคาที่ค่อนข้างแพงมาก (ราคาเปิดตัวนั้นแพงเท่ากับ 12 เท่าของ 5532) มันถูกยกย่องให้เป็นผู้มาปราบ 5532 เพราะ 30 ปีในตลาดเครื่องเสียง ยังไม่มีชิป Opamp ที่ดีกว่านี้เลย จน National ออก LM4562 ออกมา  แม้ว่าจะเหนือกว่าทุกด้าน แต่มันไม่ทนต่อ สัญญาณรบกวนภายนอก ดังนั้น ต้องวางแผนป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกให้ดี 

- NE5532/5534 (ออกปี 1977) ถือเป็น op-amp แบบ Bi-Polar ในตำนานที่มีราคาถูก เครื่องเสียงราคาแพงๆ มักนำมันไปใช้ กรณี ที่แหล่งผลิตดีๆ จะถูกนำไปเทียบกับ Burr Brown ตัว Top เลยทีเดียว

มันมีสองเกรด คือ ของไทยตามบ้ามหม้อ และ  ยี่ห้อ Philips หรือ signetic (ความจริงมันยี่ห้อเดียวกัน เพราะ Philips มันเทคโอเวอร์ Signetic) มันถูกออกแบบวงจรโดย National Semiconductor เพื่อให้ชนะ LM741 ในทุกด้าน และมันยังถือเป็นตัวอัพเกรด ของ4558 อีกด้วย)

ในตลาด Audio ถือว่า มันแทบยึดครองตลาดบน -ตลาล่างมายาวนาน อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน มันมีราคาค่อนข้างถูก และหลุดจากเครื่องเสียงราคาแพงไปนานพอสมควร 

จุดเด่นด้านเทคนิกของ 5532 คือ มีสัญญาณรบกวนต่ำ ความผิดเพี้ยนภายในตัวมันเอง ก็น้อยมากๆ แต่ผลทดสอบในห้องแลปพบว่า ความเพี้ยนมักเกิดจาก Capacitor ที่จ่ายไฟให้มัน แม้ว่ามันจะต้องการใช้ Capacitor เพียง 100uF ก็พอ แต่หลายคนแนะนำให้ใช้ที่ 220uF แทน แต่เน้นว่าต้องเป็น Cap ที่มีความเพี้ยนน้อย (ดังนั้น การ Upgrade Cap สำหรับ NE5532 นั้นจึงมีความสำคัญมาก)  และต้องอยู่ไม่ไกลจาก 5532 ไม่เกิน 2-3มิลลิเมตรเท่านั้น และควรใช้ตัวเก็บประจุแค่ตัวเดียวเท่านั้นอีกด้วย)

บทสรุป  ในอดีต มันอยู่ระดับแนวหน้าของวงการ Audio แต่ปัจจุบัน มันไม่ใช่ระดับแนวหน้าอีกต่อไป โดยหากเครื่องเสียงที่ยังใช้ NE5532 นั้นมักจะโดนเปรียบเทียบกับ เครื่องเสียงญี่ปุ่น ยุค 70's ที่มีความเพี้ยนต่ำ แต่เสียงโคตรแย่ คือ ทื่อๆ ตรงๆ และแห้งผาก

- NJM4558 หรือ JRC 4558 

- LM747/741(Single) ถือเป็นยุคบุกเบิก ของ Opamp (ออกขายในปี 1968 เป็นรุ่นที่ 2 ต่อจาก LM709) ข้อเสียคือ ความเพี้ยนจะเพิ่มขึ้นตามความถี่ของเสียงที่สูงขึ้น แต่ข้อดีคือ มันราคาถูกที่สุด

นอกจากนี้ยังมี discrete opamp  ที่เป็นการประกอบชิั้นส่วนอิเลกโทรนิกส์ ขึ้นมาผ่านแผ่นปริ้นท์  จึงเห็นมันมีขนาดใหญ่กว่า IC 



เครื่อง Aiyima es901862m
เครื่องนี้ใช้ Opamp 3 ตัว สามารถอัพเกรดได้ทั้ง 3 ตัว 2 ตัวเป็น TI NE5532 ตัวแปลง I/V และ LPF - มันเป็นชิปที่ดีแค่ค่อนข้างเก่ามากๆ ส่วนใหญ่แล้วจะแปลงไปเป็น opa2604 (แนะนำที่สุด และได้เปลี่ยนเป็นตัวนี้แล้ว) หรือ AD825 opa2134(ถูก)) อีก ตัวเป็น Ti TL072 เป็น buffer (ทุกคนแนะนำให้แปลงเป็น opa2134pa) Capacitor 6.3V 470uf

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565

็HTPC - จอโทรทัศน์

สิ่งที่ต้องเรียนรู้ เกี่ยวกับภาพ จะมีดังนี้

1. Resolution 4K
ปัจจุบัน โทรทัศน์ส่วนใหญ่จะรองรับมาตรฐาน  4K (ในทางการตลาดเรียกว่า ชัดกว่า Full HD 4 เท่า)

แต่ความจริงแล้ว  4K จะมี 2 มาตรฐาน ดังนี้
1.1 มาตรฐาน อุตสาหกรรมโทรทัศน์ คือ 3840x2160 หรือ เรียกว่า 4K UHD
1.2 มาตรฐาน อุตสาหกรรมภาพยนตร์ (โรงหนัง) จะใช้  4096x2160 หรือเรียกว่า DCI 4K

2. Refresh Rate 
บางคนจะใช้ Hz (เฮิร์ต) เป็นสัญลักษณ์ ว่า จอภาพสามารถแสดงภาพนิ่งได้กี่ภาพ หรือ เฟรม   ภายใน 1 วินาที  จึงเป็นที่มาของคำว่า Frame Rate per second หรือ fps ปัจจุบัน โทรทัศน์ส่วนใหญ่รองรับที่ 60Hz ขณะที่จอคอมพิวเตอร์ระดับสูงไปถึง 144Hz แล้ว คือ ถ้ายิ่งมาก ภาพจะยิ่งลื่นไหลมากขึ้น แต่ จะกินทรัพยกรในการถอดรหัสอย่างมาก

แต่การปรับค่าที่สูงเกินไปก็อาจจะไร้ประโยชน์ เพราะภาพยนตร์ส่วนใหญ่ถ่ายทำที่ 23.97 fps เท่านั้น 

3. YUV / YCbcr และ RGB (ส่งสัญญาณไปโทรทัศน์)

ทั้งหมดเป็นการเข้ารหัส เพื่อแจกแจงสี (Luminance) ของจอภาพ (เครื่องเล่นจะส่งสัญญาณอะไรออกมาให้โทรทัศน์ได้รับไป)

YUV และ YCbcr ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน แต่ YUV จะเป็นมาตรฐานสำหรับ อุตสาหกรรมโทรทัศน์ โดยเฉพาะ สัญญาณอนาลอก เช่น PAL NTSCส่วน YCbcr นั้น จะเป็นมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น

ส่วนใหญ่ตัว Y จะหมายถึง ความสว่าง Brightness ส่วน U-V จะเป็นการเทียบสีกับแสงสีฟ้า และ Vเทียบกับแสงสีแดง
ดังนั้นภาพหนึ่งภาพ ของ YUV จะเกิดจาก Y ขาวดำ U ฟ้า และ V แดง

RGB จะแยกเป็น Red Green Blue ตรง
RGB24 จะหมายถึง 8 Bits นั่นเอง  (8x3)
RGB32 จะหมายถึง 8 Bits แบบพิเศษ คือมันจะมี มากกว่า RGB มาอีก 1 ตัว เป็น 8x4 (ตัวพิเศษจะเรียกว่า  transparency mask)
RGB48 จะหมายถึง 16 Bits (16x3)


ถึงตรงนี้ มีคำถามว่า ถ้าให้เลือกปรับ YUV กับ RGB ควรปรับเป็นอะไร เขาแนะนำให้ปรับ เป็น YUV ภาพจะออกมาดีกว่า  เพราะ YUV จะมีประสิทธิภาพที่มากกว่า และ ใช้ Bandwidth ที่น้อยกว่ามาก

4. 444 422 420 (แสงและสี)
คือการเก็บข้อมูลใน 1 Pixel ว่ามีความละเอียดเท่าไหร่ โดย 444 เก็บข้อมูล ความสว่าง(Luma)  และ สี(Chroma)  ซึ่ง 444 ก็จะเก็บข้อมูลที่ขนาดใหญ่กว่าด้วย

ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับข้อ 3 ยกตัวอย่างเช่น YUV442 (จะเรียกรหัสสั้นๆ เป็น I442) 

5. 8 10 12 16Bits (สีอย่างเดียว)
มันคือ Color bit Depth คือ เฉดสี ยิ่งละเอียดมาก ภาพก็จะยิ่งเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น บางทีใช้ศัพท์ว่า  HDR8 HDR10 แต่บางทีจะซ่อนมา ซึ่งเราไม่รู้  เช่นคำว่า  Dolby Vision จะใช้ที่ 12Bits 
โดย 8Bit จะอยู่ที่ 16 ล้านสี 10Bit จะได้ 1 พันล้านสี  12Bit จะได้ 68 พันล้านสี

ย้อนกลับไปข้อ 3 จะมี YV12 คือ YUV420 12Bits  นั่นเอง