Koolaudio - การอัพเกรด OpAmp
OpAmp หรือ Operating Amplifier คือ วงจรรวม เพื่อใช้ อัพกระแส (โดยปกติ มันคือวงจรที่ประกอบไปด้วย Transitor อยู่ภายในจำนวนมาก มันคล้ายๆ กับชิปคอมพิวเตอร์ที่มี Transitor อยู่ในนั้นจำนวนมากเช่นกัน)
โดยมากมักมี 8 ขา ซึ่งนัก DIY ด้านเครื่องเสียง มักจะหาซื้อมาอัพเกรดเครื่องกัน แต่ถ้าให้ดีต้องตรวจเช็คจาก DataSheet ด้วย เพราะไม่งั้นเปลี่ยนไปอาจจะช๊อตเสียหายได้
วิธีดู OpAmp มีกี่ชนิด สเปคและ Feature ของมัน
1. VS รองรับแรงดันเท่าไหร่ (ปกติจะมีตั้งแต่ 9V-20V ตรงนี้ต้องเช็คให้ดี)
2. ไฟขาเข้าเป็นแบบไหน (Bi-Polar JFET หรือ CMOS โดย CMOS จะเป็นระบบใหม่ที่สุด)
3. Dual หรือ Single (ภายในจะมี 2 ตัว หรือ 1 ตัว)
4. High Slew rate (หน่วยเป็น Volt/เวลา ) ความหมายคือ ใช้เวลาในการขยายเร็วขนาดไหน ยิ่งมากยิ่งดี
5. Low Noise (สัญญาณรบกวนต่ำ) หน่วยเป็นแรงดัน(V) ต่อความถี่(Hz) นอกจาก สัญญาณรบกวน ภายในตัวมันเองต้องต่ำแล้ว วงจรต้องออกแบบมาดีด้วย จึงจะได้ Noise ที่ต่ำ
6. Low Distrotion (ความเพี้ยนต่ำ) หน่วยเป็น เปอร์เซนต์ ตัวนี้ เป็นการขยายที่วัดว่า ได้กราฟเพี้ยนไปจากเดิมเท่าไหร่ (รุ่นใหม่ๆ จะมีความเพี้ยนที่น้อยลงมาก)
7. Low Offset Voltage สัญญาณเข้าเป็น 0 สัญญาณออกจะมีเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นระดับ มิลลิโวลท์ไปแล้ว
8. Short Cucuit Protection มีวงจรป้องกันการช๊อตภายในหรือไม่ (ถ้าช๊อต มันจะตัดเป็น Mute ทันที)
9. Low Power Consumption กินไฟน้อย (ถ้าเป็นแอมป์ รถ อาจมีผล ต่อแอมป์บ้านไม่ต้องพิจารณาก็ได้)
10. Single Supply , Dual Supply คือการเดินไฟเข้า แบบ 1 กับแบบ 2 (ไม่มี -)
ส่วนใหญ่จะใส่ ในส่วนของ Input (ต่อแชนแนล) กับ Output ขณะที่ หากมี Sub ก็จะมีเพิ่มขึ้นมาอีกตัว
Opamp มี 2 อย่างคือ Tone Pre (กินไฟเยอะ แต่ออกน้อย เน้นคุณภาพ) กับ Tone Power(ไฟต่ำแต่ออกเยอะ ไม่เน้นคุณภาพ)
โดยจะเน้นไปที่ OpAmp เซรามิกเป็นหลัก จะได้เสียงที่ดีที่สุด (มันทำขึ้นมาเพื่อป้องกัน High Speed Oscillation)
การอัพเกรด ก็จะต้องดูว่า เป็นรุ่นที่ดึงได้เลย หรือต้อง บัคกรีขา โดยสังเกตทิศทางจาก รอยแง่งเป็นหลัก
- Burson V6 Classic มันเป็น discrete opamp แต่ถูกวิจารณ์ว่า มันถือเป็น OpAmp ระดับสูง ที่ไม่รู้จะติอะไร
-Muse8920 มันคือตัวอัพเกรดของ 8820 โดยมีการใส่วงจร JFET เข้าไปในตัวด้วย อย่างไรก็ดี มันเป็นทางเลือกสำหรับคนที่เกลียดเสียงแบบดิจิตอลจ๋า ก็หลบมาใช้ OpAmp ตัวนี้เช่นเดิม
-Muse8820 คำวิจารณ์คือ หากใครต้องการเสียงแบบ แอมป์หลอด นี่คือ OpAmp ในฝัน ในงบที่จำกัด ข้อเสียคือ มันมีเสียงรบกวนที่ค่อนข้างชัด
- OPA1656 และ 2156 ถือเป็น OpAmp ที่สูงที่สุดของ Burr Brown (ในปี 2020) โดยมันเป็น CMOS Opamp โดยมักจะใช้ OPA1656 กับปรีแอมป์ หรือ DAC และใช้ OPA1642/1652 หรือ OPA861 กับแอมป์ จะเป็นที่่ได้รับความนิยมอย่างมาก
อย่างไรก็ดี การอัพเกรดตัวนี้ ตามเสปคมันจะต้องโหลด Capacitor 100pF ซึ่งมันอาจต่างจาก OpAmp ตัวอื่น ทำให้การสับเปลี่ยนอาจไม่ได้ผลที่ดีเท่าที่ควร
ที่สำคัญคือ การจะอัพเกรดมันจาก OpAmp รุ่น 5532 หรือ 2134 ต้องการ Adaptor เพื่อแปลงขาก่อนถึงใส่มันได้
- OPA1622 มันถูกออกแบบมาให้เป็น OpAmp สำหรับหูฟัง ทำให้มันทนทานต่อ อิมพีเดนซ์ต่ำได้ดีกว่า และไม่แนะนำให้เอาไปใช้ใน ปรีแอมป์
-OPA2604/604 มันเป็น Op-amp ที่ถูกยกให้เหนือกว่า 5532 แล้ว แต่มันแพงกว่า 5532 เพียงนิดเดียว
ตัวนี้มักถูกนำไปเทียบกับ OPA2134 แม้สเปกจะดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น แต่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่มักจะบอกว่า เสียงที่ได้มันไม่ต่างกับ OPA2134 เลย แต่ตามสเปกแล้ว มันจะต่างก็ต่อเมื่อหมุนปุ่มโวลุ่มไปที่ดังมากๆ เพราะ OPA2604 จะรองรับกระแสได้มากกว่า และอัตรา Slew rate ที่สูงกว่า ดังนั้นเสียงมันจะกระชับกว่า โดยหากใครใช้ 2134 แล้วฟังเพลงเบาๆ ไม่แนะนำให้อัพเกรดเป็นตัวนี้ เพราะจะเหมือนกับเสียเงินฟรี
แต่ถ้าเอามันไปเปรียบกับ OPA1612 สิ่งที่ต่างชัดๆ คือ มันจ่ายไฟเข้าแบบ CMOS (ไม่ใช่ทั้ง FET และ Bi Polar) ซึ่งเป็นระบบที่ใหม่กว่า จุดนี้เองที่นักวิจารณ์เครื่องเสียงบอกว่า มันอาจเป็นจุดจบของ FET และ Bi Polar
อย่างไรก็ดี มันก็ถูกยกให้เป็น OpAmp ที่ควรค่าแก่การอัพเกรด เสียงค่อนข้างเป็นกลาง แต่รายละเอียดดีมาก
- OPA637/627 ถือเป็น OpAmp ราคาแพง ที่ฝรั่งชื่นชมกันมาก ถือเป็นตัว Top ในอดีตของ Burr Brown เพราะมันถูกผลิตด้วยเลเซอร์แล้ว ทำให้มันมีความแม่นยำสูงมาก ความผิดเพี้ยนก็ต่ำมากๆ
ตามเสปกแล้ว มันเหนือกว่า 2134 เกือบทุกด้าน แต่ความจริงมันคือตัวอัพเกรดของ 2604 อย่างแท้จริง แต่ น้ำเสียงของมันกลับไปคนละทางกับ 2134 เลย โดย เสียงของมันจะมีน้ำหนัก และ บอดี้โดยเฉพาะเสียงแหลมที่มีมากกว่าอย่างชัดเจน แต่มันก็มาพร้อมกับเสียงรบกวนที่มากกว่า เช่นกัน จนหลายคนว่า มันไม่สามารถฟังเพลงได้นานๆ เมื่อเทียบกับ 2134 เพราะ 2134 เสียงมันดีอยู่แล้ว ใครที่ใช้ 2134 จึงไม่สามารถเปรียบเทียบได้ ว่าควรอัพเกรดหรือไม่ ?
ขณะที่มันถูกนำไปเทียบกับ MUSE003 มันกลับเหนือว่า ที่ความถี่สูงอย่างชัดเจน (กราฟของ 003 จะเริ่มเพี้ยนมากกว่า)
-AD838 มันเหมาะกับเสียงแบบ อนาล็อกมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อใช้กับภาค Phono
-AD712
-OPA2156 ถือเป็นตัวอัพเกรด ของ OPA2134 สัญญาณรบกวนน้อยกว่า บอร์ดแบนด์สูงกว่า แรงดันออฟ เซ็ตก็ต่ำกว่า อัตรา Slew ก็สูงก่วา 2134 ถึง 1 เท่าคือ 40 เลย
เรียกได้ว่า OPA2156 มันเป็นรุ่นปรับปรุงเกือบทุกด้านของ 2134 เลยทีเดียว
- OPA2134/134 มันถูกพัฒนาต่อจาก OPA275 มันถูกยกให้เหนือว่า TL072 เพราะเรื่องการกินไฟ และอื่นๆ อย่างน้อย และถือเป็น OpAmp สมัยใหม่แล้ว ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Opamp ที่มีความซับซ้อนของวงจร (เพราะมันรวมวงจร FET เข้าไปในตัวมันด้วย ทำให้ Noise จากวงจรภายนอกกระทบน้อยกว่ามาก) แม้ว่ามันจะยังมีความเพี้ยนเยอะเมื่อเทียบกับ OpAmp สมัยใหม่กว่ามันก็ตาม (แต่ยังน้อยกว่า 5532 และ TL072) นักเล่นเครื่องเสียงกลับนิยมรุ่นนี้กันมาก (โดยปัจจุบัน นัก DIY หันมาชอบ 2156 กับ 2604 แทน )
โดยมันจะมีตัวอัพเกรด (ภายในใช้ของดีกว่าเท่านั้น คือ OPA2132 แต่ถ้ารหัสต่อท้ายเป็น Standard grade มันจะเท่ากับ 2134 ที่ไม่มีตัวอัพเกรด)
** การเอาไปอัพเกรดแทน 5532 อาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร ขึ้นอยู่กับการออกแบบวงจรด้วย เพราะ 5532เป็น Bi-Polar แต่อันนี้เป็นแบบ JFET (ที่ต้องการ input ต่ำกว่า 2kOhm) แต่ 90% มันสามารถอัพเกรดแทนได้ (เพราะ JFET สามารถใส่แทน Bi Polar ได้เกือบทั้งหมด) ซึ่งนัก DIY ส่วนใหญ่จะแนะนำมือใหม่ให้เริ่มต้น Upgrade 5532 เป็นตัวนี้ไปก่อน
** OPA2134 2132 เป็น Dual OpAmp ซึ่งมันใช้ OPA132 OPA134 แทนไม่ได้ เพราะมันเป็น Single OpAmp
- OPA2111 เป็น op-amp ที่จริงๆแล้วตามสเปกแนะนำให้ใช้เป็นเครื่องมือวัด Monitor เสียมากกว่าที่จะเป็นเครื่องเสียง เพราะมันมีเสียงที่ค่อนข้างเป็นกลางมากๆ โดนเน้นไปที่ตัวถังแบบเหล็ก โดยมันจะเด่นที่เสียงแหลมที่ไปไกลกว่า ใสกว่า และกังวาลกว่า
- OPA602 เป็น Single op-amp ที่คนขายแนะนำว่าเสียงดี (เป็นอดีตตัว Top ของ Burr Brown ก่อน OPA637)
- TL071 ,072 ถือเป็น Op-Amp เจ้าตลาดราคาถูกเช่นเดียวกับ 5532 แม้มันจะมีประสิทธิภาพสูงกกว่า 5532 ในเกือบทุกด้าน ใช้พลังงานก็น้อยกว่า แต่นักวิจารณ์ทุกคน ระบุว่า น้ำเสียงสู้ 5532 ไม่ได้เลยในทุดด้าน โดยตามสเปกแล้วมันมีจุดอ่อน คือ เมื่อเสียงดังขึ้นมันก็จะยิ่งเพี้ยนมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้น Opamp ตัวนี้เหมาะกับการฟังเพลง เล็กๆน้อยๆ เท่านั้น
- OPA 275 มันเป็น Opamp ระดับเครื่องเสียง มีค่าตัว 7 เท่าของ 5532 แต่มันกลับมีความเพี้ยนที่สูง และยังมีสัญญาณรบกวนที่สูง แถมไม่ชอบความถี่ต่ำอีกด้วย
-AD797 มันราคาแพงกว่า 5532 20 เท่า แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า 5532 และการออกแบบก็ง่ายพอ ๆ กับ 5532 ก็ตาม มันยังมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า 5532 พอสมควรเท่านั้น
-LM4562 เปิดตัวในปี 2550 แต่ราคาที่ค่อนข้างแพงมาก (ราคาเปิดตัวนั้นแพงเท่ากับ 12 เท่าของ 5532) มันถูกยกย่องให้เป็นผู้มาปราบ 5532 เพราะ 30 ปีในตลาดเครื่องเสียง ยังไม่มีชิป Opamp ที่ดีกว่านี้เลย จน National ออก LM4562 ออกมา แม้ว่าจะเหนือกว่าทุกด้าน แต่มันไม่ทนต่อ สัญญาณรบกวนภายนอก ดังนั้น ต้องวางแผนป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกให้ดี
- NE5532/5534 (ออกปี 1977) ถือเป็น op-amp แบบ Bi-Polar ในตำนานที่มีราคาถูก เครื่องเสียงราคาแพงๆ มักนำมันไปใช้ กรณี ที่แหล่งผลิตดีๆ จะถูกนำไปเทียบกับ Burr Brown ตัว Top เลยทีเดียว
มันมีสองเกรด คือ ของไทยตามบ้ามหม้อ และ ยี่ห้อ Philips หรือ signetic (ความจริงมันยี่ห้อเดียวกัน เพราะ Philips มันเทคโอเวอร์ Signetic) มันถูกออกแบบวงจรโดย National Semiconductor เพื่อให้ชนะ LM741 ในทุกด้าน และมันยังถือเป็นตัวอัพเกรด ของ4558 อีกด้วย)
ในตลาด Audio ถือว่า มันแทบยึดครองตลาดบน -ตลาล่างมายาวนาน อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน มันมีราคาค่อนข้างถูก และหลุดจากเครื่องเสียงราคาแพงไปนานพอสมควร
จุดเด่นด้านเทคนิกของ 5532 คือ มีสัญญาณรบกวนต่ำ ความผิดเพี้ยนภายในตัวมันเอง ก็น้อยมากๆ แต่ผลทดสอบในห้องแลปพบว่า ความเพี้ยนมักเกิดจาก Capacitor ที่จ่ายไฟให้มัน แม้ว่ามันจะต้องการใช้ Capacitor เพียง 100uF ก็พอ แต่หลายคนแนะนำให้ใช้ที่ 220uF แทน แต่เน้นว่าต้องเป็น Cap ที่มีความเพี้ยนน้อย (ดังนั้น การ Upgrade Cap สำหรับ NE5532 นั้นจึงมีความสำคัญมาก) และต้องอยู่ไม่ไกลจาก 5532 ไม่เกิน 2-3มิลลิเมตรเท่านั้น และควรใช้ตัวเก็บประจุแค่ตัวเดียวเท่านั้นอีกด้วย)
บทสรุป ในอดีต มันอยู่ระดับแนวหน้าของวงการ Audio แต่ปัจจุบัน มันไม่ใช่ระดับแนวหน้าอีกต่อไป โดยหากเครื่องเสียงที่ยังใช้ NE5532 นั้นมักจะโดนเปรียบเทียบกับ เครื่องเสียงญี่ปุ่น ยุค 70's ที่มีความเพี้ยนต่ำ แต่เสียงโคตรแย่ คือ ทื่อๆ ตรงๆ และแห้งผาก
- NJM4558 หรือ JRC 4558
- LM747/741(Single) ถือเป็นยุคบุกเบิก ของ Opamp (ออกขายในปี 1968 เป็นรุ่นที่ 2 ต่อจาก LM709) ข้อเสียคือ ความเพี้ยนจะเพิ่มขึ้นตามความถี่ของเสียงที่สูงขึ้น แต่ข้อดีคือ มันราคาถูกที่สุด
นอกจากนี้ยังมี discrete opamp ที่เป็นการประกอบชิั้นส่วนอิเลกโทรนิกส์ ขึ้นมาผ่านแผ่นปริ้นท์ จึงเห็นมันมีขนาดใหญ่กว่า IC
เครื่อง Aiyima es901862m
เครื่องนี้ใช้ Opamp 3 ตัว สามารถอัพเกรดได้ทั้ง 3 ตัว
2 ตัวเป็น TI NE5532 ตัวแปลง I/V และ LPF
- มันเป็นชิปที่ดีแค่ค่อนข้างเก่ามากๆ ส่วนใหญ่แล้วจะแปลงไปเป็น opa2604 (แนะนำที่สุด และได้เปลี่ยนเป็นตัวนี้แล้ว) หรือ AD825 opa2134(ถูก))
อีก ตัวเป็น Ti TL072 เป็น buffer (ทุกคนแนะนำให้แปลงเป็น opa2134pa)
Capacitor 6.3V 470uf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น