Advertising

..

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2567

Koolauto : น้ำมันเครื่อง

Koolauto : น้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่อง มีหน้าที่หลักที่สำคัญสุด คือ การหล่อลื่นเครื่องยนต์!!! เพื่อป้องกันการสึกหรอของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะการเสียดสีกันของโลหะ และใช้เพื่อ ระบายความร้อน ในห้องเผาไหม้

 แต่น้ำมันเครื่องในปัจจุบัน มีการเพิ่มหน้าที่อื่นๆ อีกหลายหน้าที่ ทำให้ ปัจจุบันมันไม่ใช่แค่ น้ำมันหล่อลื่น อีกต่อไป!!! และทำให้น้ำมันเครื่องรุ่นใหม่ๆ มันมีราคาที่แพงกว่า รุ่นเก่ามากๆ

บทความนี้ เราจะแยก ความรู้ด้านน้ำมันเครื่อง ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนประกอบของน้ำมันเครื่อง และ คุณสมบัติพื้นฐาน ของน้ำมันเครื่อง 

ส่วนประกอบของน้ำมันเครื่อง หลักๆ จะมี 2 ส่วน คือ น้ำมันพื้นฐาน (Base) และ สารปรุงแต่ง (Additive) 

ส่วนประกอบของน้ำมันเครื่อง 
น้ำมันเครื่องพื้นฐาน Base 
เราต้องเข้าใจก่อนว่า น้ำมันเครื่องพื้นฐาน( Base Oil) คืออะไร เพื่อให้เข้าใจว่า น้ำมันพื้นฐานของแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ มันเกิดจาก น้ำมันพื้นฐาน อะไรก่อน

น้ำมันเครื่องแบบดั้งเดิม  เป็นน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม (Group 1 หรือ Group 2) โดยทั่วไป จะแนะนำให้ใช้งานประมาณ 3,000-5,000 กม.

Group 1  น้ำมันพื้นฐานกลุ่ม 1 ส่วนใหญ่ได้มาจากการกลั่นน้ำมันดิบ โดยอาศัยตัวทำละลาย มาตรฐานของมันคือ มีส่วนผสมของ กำมะถัน (Sulfur) มากกว่า 0.03 ความหนืดน้อยกว่า 90 มีค่า Vissosity Index ระหว่าง 90-119

ข้อเสียคือ โมเลกุลเรียงตัวไม่เป็นมาตรฐาน ไม่เหมาะกับงานระดับพรีเมียม และปัจจุบัน มีการลดการใช้งานลงเรื่อยๆ แล้ว

Group 2 น้ำมันพื้นฐานกลุ่ม 2 นี้ยังได้มาจากการกลั่นน้ำมัน ด้วยกรรมวิธี HydroTreat  กำหนดค่ามาตรฐานคือ ค่า Sulfur น้อยว่า 0.03 และค่า Vissosity Index อยู่ระหว่าง 90-119 (จำไว้ว่า ไม่ว่าผลิตด้วยวิธีไหน แต่ถ้าผ่านมาตรฐานถือเป็น Group 2 นั่นคือ กรรมวิธีการกลั่นไม่เกี่ยว)

น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) เป็นน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม ผสมกับน้ำมันที่ได้มาจากการสังเคราะห์ (ตามแต่สัดส่วนแต่ละโรงงานผลิต อาจใส่สังเคราะห์เพียงนิดเดียวก็สามารถเรียก Semi  Syntheticได้แล้ว) ใช้งานได้ประมาณ 5,000-7,000 กม.

น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) เป็นน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์ขึ้น 100% ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันที่ผ่านการกลั่นจากน้ำมันธรรมชาติแต่อย่างใด  ใช้งานได้ประมาณ 7,000-10,000 กม. 

Group 3 เป็นการกลั่นน้ำมันแบบ HydroCracking หลายๆ รอบ ทำให้เกิดความบริสุทธิ์กว่า น้ำมัน Group 2 แน่นอนน้ำมันเครื่อง Group 3 ยังเป็นผลผลิตจาก น้ำมันธรรมชาติ!!!

*** ในน้ำมันเครื่องบางยี่ห้อจะสามารถเรียกเป็น น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ได้ แต่บางยี่ห้อจะ ไม่เรียกเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ เพราะปัญหาด้านกฎหมายของประเทศนั้นๆ **

Group 4 PAO (Polyalphaolefin) Ester , Diester, Complex ester  น้ำมันเครื่องเกรดนี้ จะมีค่าความหนืดที่คงที่กว่า มันไม่มีปฎิกริยากับออกซิเจน ทำให้รักษาเครื่องยนต์ได้ดีกว่า

Group 5
จะเป็น Group พิเศษที่แต่ละยี่ห้อคิดค้นและจดลิขสิทธิ์กันเองเป็นส่วนใหญ่


คุณสมบัติพื้นฐานของน้ำมันเครื่อง มี 3 อย่างที่ควรเรียนรู้ไว้


1. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์
2. ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่อง
3. มาตรฐานน้ำมันเครื่อง

มาตรฐาน API 

API SP
ก่อนจะไปส่วนอื่น เราต้องยอมรับว่า มาตรฐานก่อนหน้านี้คือ SN ที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2011 โดยจะข้าม รหัส SO ไปเป็นมาตรฐาน SP เลย (เขาให้เหตุผลว่า เพราะ SO นั้นไปซ้ำกับสัญลักษณ์ ของน้ำมันเครื่องบางอย่างจึงขอละเว้นไว้)

API SP เป็นมาตรฐานที่ประกาศใช้ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2020 โดยจะมี 3 สัญลักษณ์หลัก คือ Starburst (ดาวกระจาย) Donut (โดนัท) และ Shield (โล่)  

คำอธิบายเกี่ยวกับ สัญลักษณ์ทั้ง 3 คือ เนื่องจากมีการแยกมาตรฐาน ILSAC ออกเป็น 2 ระดับ คือ GF-6A กับ GF-6B  ทำให้ต้องมีการแยกโลโก้ คือ 2 อันแรกสำหรับ GF-6A และ ตราโล่ สำหรับ GF-6B

จุดนี้หนังสือ API1509 อธิบายว่า ปกติ ในห้องทดลองจะกำหนดค่าความหนืดในการทดลองไว้ด้วย (กำหนดมาตั้งแต่ SJ SM SN) แล้วว่า ในห้องทดลองนั้น จะทดลองความหนืดที่ไม่เกิน SAE 10W-30 เท่านั้น 

ประเด็นคือ ตั้งแต่ SN นั้น ดันมีการเพิ่มคำว่า  Energy Conserving (ประหยัดพลังงาน) เพิ่มขึ้นมาด้วย เครื่องหมายนี้ จึงแสดงว่า ถ้าน้ำมันจะมีค่าความหนืดเดียวกัน มันต้องประหยัดกว่าเดิม 2-3% ถึงได้ตราประทับนี้เพิ่มจากมาตรฐาน API SN 

ส่วนประเด็นของ SP คือ มันทดสอบด้วยน้ำมันค่าความหนืดสูงสุดที่ 10-W30 เท่าเดิม แต่ถ้าต้องการ Energy Conserving นี้ ค่าความหนืด อาจจะต้องเหลือเพียง xW-16 หรือ xW-12 เท่านั้น!!!!

นั่นคือ มาตรฐาน GF-6A = W20 (โลโก้โดนัทจะต้องระบุ SAE W มาด้วย) และ  GF-6B = W16 (โลโก้โล่จะจะต้องระบุ W มาด้วย) นั่นเอง

แต่ถ้าเป็นมาตรฐาน API SP แบบมาตรฐานนั้น(ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ) จะอ้างอิงความหนืดตาม SN เดิม คือ มาตรฐานจะคือ W30  แต่ถ้าไม่มีโลโก้ ความหนืดจะเป็นเท่าไหร่ก็ได้

เนื่องจาก ค่าความหนืด Kinematic viscosity increase ที่ 40 องศา ค่าที่ได้จะต้องไม่เกิน 100 (SN นั้นอยู่ที่ 150)

ส่วน ประเด็นเรื่องการสึกหรอ คือ SP ต้องไม่มีค่าความสึกหรอของ Cam Ware เลย ขณะที่ SN นั้นยอมให้สึกหรอได้ที่ 90Um ( 0.0009 cm)   แต่ถ้าระบุว่าผ่านมาตรฐาน GF-6 จะรวม การปกป้องการสึกหรอของ LSPI และ Timing Chain และ Cam Ware

ค่าความเป็น โคลน จาก 8.0 (SN) จะเหลือแค่ 7.6 (SP) เท่านั้น 

ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่อง Viscosity 
ปกติ เราจะดูกันที่ ค่า SAE เช่น 10w-30  ค่าความหนืดจะอยู่ด้านหลัง (ณ อุณหภูมิระหว่าง 85-100องศา) แต่ประเด็นคือ เมื่อเราใช้งานไปสักพัก ค่าความหนืดมันกลับลดลงอีก นั่นเป็ฯเพราะบางส่วนเกิดจากการ Dilution หรือเจือจาง ซึ่งอาจเกิดจาก น้ำมันเชื้อเพลิง รั่วลงไปในห้องแคร้ง หรือการสะสมของตะกอนเขม่า ก็เป็นได้

และนั่นหมายความว่า ถ้าใครต้องการใช้น้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืดค่อนข้างใส มันจะต้องแลกเปลี่ยนด้วย การถ่ายน้ำมันเครื่องบ่อยๆ

แต่น้ำมันเครื่องส่วนใหญ่จะกลายสภาพเมื่ออุณหภูมิเกินกว่า 150 องศา (ค่า Kinematics viscsity)  แต่เครื่องยนต์ปัจจุบัน ที่ร้อนสุดจะเป็นแกนเทอร์โบ ที่ 135 องศา


 

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Koolaudio : HTPC - ชิป DAC

Koolaudio : HTPC - ชิป DAC 

ชิปเซ็ต DAC มีหน้าที่แปลงสัญญาณ Digital ไปเป็นสัญญาณ Analog รวมถึงปรับปรุงคุณภาพของสัญญาณเสียง พบมากในอุปกรณ์เครื่องเสียง

นักเล่นเครื่อง DAC ระดับสูง ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่  เคสเครื่องต้องเป็นอลูมิเนียมที่สวยงาม และเพื่อป้องกันคลื่นรบกวน สายต่อออกต้องเป็น XLR  ขณะเดียวกัน นักเล่นหลายคนกลับให้ความสำคัญ กับชิปเซ็ต DAC มากกว่าส  แต่หลายคนมองว่า สิ่งรอบตัวชิปเซ็ตนั้นสำคัญและมีผลต่อเสียงมากกว่าชิปอีก ดังนั้น จะให้ความสำคัญกับชิปน้อยกว่า สิ่งที่อยู่รอบตัวมัน

แต่สิ่งที่บทความนี้จะพูดถึงคือ สเปคของชิปเซ็ต ที่อย่างน้อย ต้องเสียงรบกวนระดับไม่เกิน -120dB  (ซึ่งเป็นระดับที่หูคนจะไม่สามารถสังเกตได้แล้ว) และ นักเล่นมักจะให้ "ความเป็นอนาล็อก" และ เสียงที่อบอุ่นเป็นน้ำหนักสำคัญมากกว่า

ทำไมนักเล่นเครื่องเสียงบางคนให้ความสำคัญกับ DAC
เหตุผลเพราะ Digital นั้น มันจะไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่คลาดเคลื่อนจากต้นฉบับ นั่นคือ DAC เป็นจุดเริ่มต้นของความเพี้ยนของ Analog นั่นเอง เพราะจุดกำเนิดย่อมต้องการทั้ง ความแม่นยำ รายละเอียด มิติของเสียงต่างๆ ที่ต้องการให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้นั่นเอง ขณะที่ความผิดเพี้ยนและเสียงรบกวนต้องน้อยมากๆ เพื่อให้เสียงที่สะอาดและเป็นธรรมชาติที่สุด 

โดยส่วนใหญ่ในเครื่องเล่น DAC ส่วนใหญ่จะมีการต่อกับภาคขยายบางส่วนไว้ด้วย นั่นคือ สิ่งรอบตัวที่นักเล่นเครื่องเสียงก็ให้ความสนใจเช่นกัน โดยเฉพาะการออกแบบวงจรภาคขยาย

แต่ ชิปเซ็ต DAC ในทุกยี่ห้อ ทุกรุ่น มันจะมีจุดเด่น จุดด้อยต่างกันออกไป ดังนั้น มันค่อนข้างยากที่จะระบุลงไปว่า ชิปเซ็ต DAC ตัวไหนดีที่สุด เพราะมันขึ้นอยู่กับความชื่นชอบส่วนตัว และงบประมาณมากกว่า





 

 

 6. คุณสมบัติและประโยชน์ของชิปเซ็ต DAC ที่ดีที่สุด

ชิปเซ็ต DAC เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบเสียงคุณภาพสูง พวกเขามีหน้าที่ในการแปลงสัญญาณดิจิตอลให้เป็นสัญญาณอนาล็อก ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตเสียงที่มีความเที่ยงตรงสูง ในฐานะผู้ชื่นชอบเสียง สิ่งสำคัญคือต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับชิปเซ็ต DAC ประเภทต่างๆ ที่มีจำหน่าย รวมถึงคุณสมบัติและคุณประโยชน์ ของชิปเซ็ตเหล่า นั้น


1. ชิปเซ็ต DAC Burr-Brown

Burr-Brown เป็นแบรนด์ชิปเซ็ต DAC ยอดนิยมที่มีมานานกว่า 60 ปี เป็นที่รู้จักใน ด้านประสิทธิภาพเสียงคุณภาพสูงและระดับความผิดเพี้ยนต่ำ โดยทั่วไปแล้วชิปเซ็ต Burr-Brown DAC จะพบได้ในอุปกรณ์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ และผู้ที่ชื่นชอบเสียงออดิโอไฟล์ชื่นชอบในเรื่องคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม ข้อดีอย่างหนึ่งของชิปเซ็ต Burr-Brown DAC คือความสามารถในการจัดการไฟล์เสียงความละเอียดสูง ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตเสียงคุณภาพสูง


2. ชิปเซ็ต ESS Sabre DAC


ESS Saber เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ยอดนิยมของชิปเซ็ต DAC ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ชื่นชอบเสียงจำนวนมาก ชิปเซ็ต ESS Sabre DAC ขึ้นชื่อในด้านช่วงไดนามิกที่ยอดเยี่ยมและระดับเสียงรบกวนต่ำ นอกจากนี้ยังสามารถจัดการไฟล์เสียงที่มีความละเอียดสูงได้ และมักพบในอุปกรณ์เสียงระดับไฮเอนด์ ข้อดีอย่างหนึ่งของชิปเซ็ต ESS Sabre DAC คือความสามารถในการสร้างเสียงที่มีรายละเอียดสูงและแม่นยำ ซึ่งจำเป็นสำหรับนักออดิโอไฟล์ที่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด



DAC ชิปจะมีหลายยี่ห้อ ดังนี้

1. Asahi Kasei Micro devices (เป็นชิปสัญชาติ ญี่ปุ่น) ถือเป็นผู้ผลิตชิปเซ็ต DAC ระดับสูง โดยเฉพาะ AK4497EQ ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม ระดับความผิดเพี้ยนต่ำ และการรองรับรูปแบบเสียงที่มีความละเอียดสูง 

ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการเสียงแบบอบอุ่นเป็นธรรมชาติ มันมักจะอยู่ในเครื่องเสียงระดับกลางๆ ที่เป็นที่นิยม

AKM AK4499 เปิดตัวในปี 2019 ได้รับการยกย่องอย่างสูงในวงการ ความละเอียดระดับ 32Bit  768kHz  140dB SNR และ -124dB THD+N  (รุ่นเรือธงในปี 2020 มักถูกเทียบกับ ESS9038 และ ESS9068)
AKM AK4493EQ เปิดตัวในปี 2018 (มันถือเป็นตัว อัพเกรดของ AK4490EQ  (มันถูกนำไปเทียบกับ AK4497 อย่างเลี่ยงไม่ได้ ) แต่สเปคต่ำกว่า AK4497 โดยสเปคคือ  123dB SNR และ -113dB THD+N 
AKM AK4497 เปิดตัวในปี 2016  ราคาค่อนข้างแพง โดยได้สเปคถึง 32bit 768kHz และ 128 dB SNR และ -116 dB THD+N
AKM AK4490EQ เปิดตัวในปี 2014  ได้สเปคคือ 120dB SNR และ  -112dB THD+N  (ตัวนี้มักเป็นมาตรฐานสำหรับชิป DAC ของ Asahi Kasei
AKM AK4452
AKM AK4399


2. ESS Tech ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการ Performance และถือเป็นชิปเซ็ตระดับไฮเอ็นด์ โดยเฉพาะ ชิปซีรีย์ ESS sabre ที่ถือว่าเป็นระดับเรือธงทุกตัว

บริษัทแบ่งระดับ ชิป เป็นออกเป็น 
1. Sabre 2008
2. Sabre Hifi  2014 รหัสต่อท้ายจะเป็น Q2M ซึ่งเน้นใช้งานมือถือ ทำให้ มันเน้นไปที่การกินไฟที่น้อยเป็นหลัก
3. Sabre Pro 2019 จะถือว่า บริษัทต้องการสร้าง ชิป DAC ระดับ เรือธง เพื่อสร้างมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรม และถือว่า ในปีนั้น ES9039PRO และ ES9027PRO คือ เรือธง 

โดยตัว Pro จะแตกต่างจาก ตัว Hifi หรือ Q2M คือ มันจะมีชิป 8 ตัวในชิป 1 ตัว ซึ่งต่างจาก Q2M ที่มีชิปแค่ 2 ตัวเท่านั้น 

รุ่น PRO 8 Channel

ES9039PRO 32-bit Flagship Ultra High Performance 8-Channel DAC (สเปค 140dB SNR)

ES9038PRO 32-bit 8-Channel Audio DAC with 140dB DNR

ES9028PRO 32-bit 8-Channel Audio DAC with DNR up to 133dB

ES9027PRO 32 bit High-Performance 8-Channel DAC

ES9026PRO 32-bit 8-Channel Audio DAC with DNR up to 128dB

รุ่น 8 Channel ธรรมดา

ES9017 32-bit High-Performance 8-Channel DAC

ES9080 8 Channel SABRE DAC with built in line drivers

ES9018 32 Reference 32-bit 8-Channel Audio DAC

SABRE9006A Premier 8-channel Audio DAC


รุ่น Hifi 2 Channel ระดับ AudioPhile

ES9068AS 32bit Stereo Audiophile DAC/CODEC with MQA Rendering

ES9033Q 32bit stereo audiophile DAC with line drivers

ES9023P  24bit stereo audio DAC

รุ่น Hifi 2 Channel ระดับเน้นประสิทธิภาพ

ES9038Q2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC with 129dB DNR

ES9028C2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9028Q2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9018C2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9018K2M 32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9016K2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9010K2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

 
3. Analog Devices
ถือเป็น แบรนด์เก่าแก่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะ AD1955 ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง 

- AD1955 

- AD5791BRUZ

4. Burr-Brown 
ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการเสียงที่มีรายละเอียดมาก ถือเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในวงการเครื่องเสียงมายาวนาน ในอดีต DAC ของพวกเขาได้รับการยกย่องมาโดยตลอด แต่ชิปเซ็ตอของพวกเขา อยู่ตั้งแต่ระดับไฮเอนด์ ถึงระดับล่างเลยทีเดียว

PCM1798 24 Bit (ข้อดีคือ มันสามารถเปลี่ยนชิป จาก PCM1794 2 Channel  เป็น PCM1798 5.1 Channel ได้เลย แต่หลายคนว่า เสียงมันไม่ต่างกัน ) 

PCM1796 24Bit 123dB SNR
PCM1795 32bit 192Hz  dynamic 123 dB 
(มันอยู่ใน Onkyo DA-1000)
PCM1704 มันถือเป็นรุ่นเรือธงในอดีต 
PCM1702
PCM63


5. Cirrus Logic

- CS43198 32Bit 137dB SNR

- CS43131
- CS8416 (Fx-Audio Dac X6)
- CS4398 (Fx-Audio Dac X6)

6. Wolfson
ถือว่าชิปเซ็ตสัญชาติอังกฤษ ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ โดยเฉพาะชื่อเสียงด้านความเพี้ยนที่ต่ำ และอัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวนสูง ทำให้ผู้รักเสียงเพลงค่อนข้างชื่นชอบ

WM8741 2 24bits 192db SNR

WM8740 2 24bits 116dB SNR



การเพิ่มประสิทธิภาพ DAC เพื่อให้ได้เสียงที่ดีที่สุด

1. เลือกชิปเซ็ต DAC ที่เหมาะสม

การเลือก ชิปเซ็ตที่เหมาะสมในตลาด 

2. แหล่งจ่ายไฟ

แหล่งจ่ายไฟเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพชิปเซ็ต DAC ของคุณ แหล่งจ่ายไฟ ที่สะอาดและเสถียรสามารถปรับปรุงคุณภาพเสียงของเอาต์พุตเสียงของคุณได้อย่างมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแน่ใจว่าชิปเซ็ต DAC ของคุณมีแหล่งจ่ายไฟคุณภาพสูงเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงรบกวนหรือการบิดเบือน นอกจากนี้ การใช้แหล่งจ่ายไฟภายนอกยังช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงของเอาต์พุตเสียงของคุณ ได้

3. ใช้สายเคเบิลคุณภาพสูง

การใช้สายเคเบิลคุณภาพสูงสามารถปรับปรุงคุณภาพเสียงของเอาต์พุตเสียงของคุณได้อย่างมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สายเคเบิลที่มีความต้านทานต่ำและมีฉนวนหุ้มเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนใดๆ นอกจากนี้ การใช้สายเคเบิลที่สั้นลงยังสามารถช่วยลดสัญญาณรบกวนได้อีกด้วย

4. ลดการรบกวน

การลดการรบกวนเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเพิ่มประสิทธิภาพชิปเซ็ต DAC ของคุณ จำเป็นต้องวางชิปเซ็ต DAC ของคุณให้ห่างจากแหล่งที่มาของการรบกวน เช่น เราเตอร์ ไมโครเวฟ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อื่นๆ นอกจากนี้ การใช้หม้อแปลงแยกยังสามารถช่วยลดสัญญาณรบกวนได้อีกด้วย




วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Koolaudio - การอัพเกรด OpAmp

Koolaudio  - การอัพเกรด OpAmp

OpAmp หรือ Operating Amplifier คือ วงจรรวม เพื่อใช้ อัพกระแส (โดยปกติ มันคือวงจรที่ประกอบไปด้วย Transitor อยู่ภายในจำนวนมาก มันคล้ายๆ กับชิปคอมพิวเตอร์ที่มี Transitor อยู่ในนั้นจำนวนมากเช่นกัน)

โดยมากมักมี 8 ขา ซึ่งนัก DIY ด้านเครื่องเสียง มักจะหาซื้อมาอัพเกรดเครื่องกัน แต่ถ้าให้ดีต้องตรวจเช็คจาก DataSheet ด้วย เพราะไม่งั้นเปลี่ยนไปอาจจะช๊อตเสียหายได้

วิธีดู OpAmp มีกี่ชนิด สเปคและ Feature ของมัน
1. VS รองรับแรงดันเท่าไหร่ (ปกติจะมีตั้งแต่ 9V-20V ตรงนี้ต้องเช็คให้ดี)
2. ไฟขาเข้าเป็นแบบไหน (Bi-Polar  JFET หรือ CMOS โดย CMOS จะเป็นระบบใหม่ที่สุด) 
3. Dual หรือ Single (ภายในจะมี 2 ตัว หรือ 1 ตัว)
4. High Slew rate (หน่วยเป็น Volt/เวลา ) ความหมายคือ ใช้เวลาในการขยายเร็วขนาดไหน ยิ่งมากยิ่งดี 
5. Low Noise (สัญญาณรบกวนต่ำ) หน่วยเป็นแรงดัน(V) ต่อความถี่(Hz)  นอกจาก สัญญาณรบกวน ภายในตัวมันเองต้องต่ำแล้ว วงจรต้องออกแบบมาดีด้วย จึงจะได้ Noise ที่ต่ำ
6. Low Distrotion (ความเพี้ยนต่ำ) หน่วยเป็น เปอร์เซนต์ ตัวนี้ เป็นการขยายที่วัดว่า ได้กราฟเพี้ยนไปจากเดิมเท่าไหร่ (รุ่นใหม่ๆ จะมีความเพี้ยนที่น้อยลงมาก)
7. Low Offset Voltage สัญญาณเข้าเป็น 0 สัญญาณออกจะมีเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นระดับ มิลลิโวลท์ไปแล้ว
8. Short Cucuit Protection มีวงจรป้องกันการช๊อตภายในหรือไม่ (ถ้าช๊อต มันจะตัดเป็น Mute ทันที) 
9. Low Power Consumption กินไฟน้อย (ถ้าเป็นแอมป์ รถ อาจมีผล ต่อแอมป์บ้านไม่ต้องพิจารณาก็ได้)
10. Single Supply , Dual Supply คือการเดินไฟเข้า แบบ 1 กับแบบ 2 (ไม่มี -)

ส่วนใหญ่จะใส่ ในส่วนของ Input (ต่อแชนแนล) กับ Output ขณะที่ หากมี Sub ก็จะมีเพิ่มขึ้นมาอีกตัว

Opamp มี 2 อย่างคือ Tone Pre (กินไฟเยอะ แต่ออกน้อย เน้นคุณภาพ) กับ Tone Power(ไฟต่ำแต่ออกเยอะ ไม่เน้นคุณภาพ)

โดยจะเน้นไปที่ OpAmp เซรามิกเป็นหลัก จะได้เสียงที่ดีที่สุด (มันทำขึ้นมาเพื่อป้องกัน High Speed  Oscillation)

การอัพเกรด ก็จะต้องดูว่า เป็นรุ่นที่ดึงได้เลย หรือต้อง บัคกรีขา โดยสังเกตทิศทางจาก รอยแง่งเป็นหลัก

- Burson V6 Classic มันเป็น discrete opamp แต่ถูกวิจารณ์ว่า มันถือเป็น OpAmp ระดับสูง ที่ไม่รู้จะติอะไร 

-Muse8920 มันคือตัวอัพเกรดของ 8820 โดยมีการใส่วงจร JFET เข้าไปในตัวด้วย อย่างไรก็ดี มันเป็นทางเลือกสำหรับคนที่เกลียดเสียงแบบดิจิตอลจ๋า ก็หลบมาใช้ OpAmp ตัวนี้เช่นเดิม

-Muse8820  คำวิจารณ์คือ หากใครต้องการเสียงแบบ แอมป์หลอด นี่คือ OpAmp ในฝัน ในงบที่จำกัด ข้อเสียคือ มันมีเสียงรบกวนที่ค่อนข้างชัด

- OPA1656  และ 2156 ถือเป็น OpAmp ที่สูงที่สุดของ Burr Brown  (ในปี 2020) โดยมันเป็น CMOS Opamp โดยมักจะใช้ OPA1656 กับปรีแอมป์ หรือ DAC  และใช้  OPA1642/1652 หรือ OPA861 กับแอมป์ จะเป็นที่่ได้รับความนิยมอย่างมาก

อย่างไรก็ดี การอัพเกรดตัวนี้ ตามเสปคมันจะต้องโหลด Capacitor 100pF ซึ่งมันอาจต่างจาก OpAmp ตัวอื่น ทำให้การสับเปลี่ยนอาจไม่ได้ผลที่ดีเท่าที่ควร

ที่สำคัญคือ การจะอัพเกรดมันจาก OpAmp รุ่น 5532 หรือ 2134 ต้องการ Adaptor เพื่อแปลงขาก่อนถึงใส่มันได้ 

- OPA1622 มันถูกออกแบบมาให้เป็น OpAmp สำหรับหูฟัง ทำให้มันทนทานต่อ อิมพีเดนซ์ต่ำได้ดีกว่า และไม่แนะนำให้เอาไปใช้ใน ปรีแอมป์

-OPA2604/604  มันเป็น Op-amp ที่ถูกยกให้เหนือกว่า 5532 แล้ว แต่มันแพงกว่า 5532 เพียงนิดเดียว

ตัวนี้มักถูกนำไปเทียบกับ OPA2134 แม้สเปกจะดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น แต่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่มักจะบอกว่า เสียงที่ได้มันไม่ต่างกับ OPA2134 เลย แต่ตามสเปกแล้ว มันจะต่างก็ต่อเมื่อหมุนปุ่มโวลุ่มไปที่ดังมากๆ เพราะ OPA2604 จะรองรับกระแสได้มากกว่า และอัตรา Slew rate ที่สูงกว่า ดังนั้นเสียงมันจะกระชับกว่า โดยหากใครใช้ 2134 แล้วฟังเพลงเบาๆ ไม่แนะนำให้อัพเกรดเป็นตัวนี้ เพราะจะเหมือนกับเสียเงินฟรี

แต่ถ้าเอามันไปเปรียบกับ OPA1612 สิ่งที่ต่างชัดๆ คือ มันจ่ายไฟเข้าแบบ CMOS (ไม่ใช่ทั้ง FET และ Bi Polar) ซึ่งเป็นระบบที่ใหม่กว่า จุดนี้เองที่นักวิจารณ์เครื่องเสียงบอกว่า มันอาจเป็นจุดจบของ FET และ Bi Polar 

อย่างไรก็ดี มันก็ถูกยกให้เป็น OpAmp ที่ควรค่าแก่การอัพเกรด เสียงค่อนข้างเป็นกลาง แต่รายละเอียดดีมาก 

- OPA637/627 ถือเป็น OpAmp ราคาแพง ที่ฝรั่งชื่นชมกันมาก ถือเป็นตัว Top ในอดีตของ Burr Brown เพราะมันถูกผลิตด้วยเลเซอร์แล้ว ทำให้มันมีความแม่นยำสูงมาก ความผิดเพี้ยนก็ต่ำมากๆ 

ตามเสปกแล้ว มันเหนือกว่า 2134 เกือบทุกด้าน  แต่ความจริงมันคือตัวอัพเกรดของ 2604 อย่างแท้จริง แต่ น้ำเสียงของมันกลับไปคนละทางกับ 2134 เลย โดย เสียงของมันจะมีน้ำหนัก และ บอดี้โดยเฉพาะเสียงแหลมที่มีมากกว่าอย่างชัดเจน แต่มันก็มาพร้อมกับเสียงรบกวนที่มากกว่า เช่นกัน จนหลายคนว่า มันไม่สามารถฟังเพลงได้นานๆ เมื่อเทียบกับ 2134 เพราะ 2134 เสียงมันดีอยู่แล้ว ใครที่ใช้ 2134 จึงไม่สามารถเปรียบเทียบได้ ว่าควรอัพเกรดหรือไม่ ?

ขณะที่มันถูกนำไปเทียบกับ MUSE003 มันกลับเหนือว่า ที่ความถี่สูงอย่างชัดเจน (กราฟของ 003 จะเริ่มเพี้ยนมากกว่า)

-AD838 มันเหมาะกับเสียงแบบ อนาล็อกมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อใช้กับภาค Phono

-AD712

-OPA2156  ถือเป็นตัวอัพเกรด ของ OPA2134 สัญญาณรบกวนน้อยกว่า บอร์ดแบนด์สูงกว่า แรงดันออฟ เซ็ตก็ต่ำกว่า อัตรา Slew ก็สูงก่วา 2134 ถึง 1 เท่าคือ 40 เลย

เรียกได้ว่า OPA2156  มันเป็นรุ่นปรับปรุงเกือบทุกด้านของ 2134 เลยทีเดียว

- OPA2134/134  มันถูกพัฒนาต่อจาก OPA275 มันถูกยกให้เหนือว่า TL072 เพราะเรื่องการกินไฟ และอื่นๆ อย่างน้อย และถือเป็น OpAmp สมัยใหม่แล้ว ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Opamp ที่มีความซับซ้อนของวงจร (เพราะมันรวมวงจร FET เข้าไปในตัวมันด้วย ทำให้ Noise จากวงจรภายนอกกระทบน้อยกว่ามาก) แม้ว่ามันจะยังมีความเพี้ยนเยอะเมื่อเทียบกับ OpAmp สมัยใหม่กว่ามันก็ตาม (แต่ยังน้อยกว่า 5532 และ TL072) นักเล่นเครื่องเสียงกลับนิยมรุ่นนี้กันมาก (โดยปัจจุบัน นัก DIY หันมาชอบ 2156 กับ 2604 แทน )

โดยมันจะมีตัวอัพเกรด (ภายในใช้ของดีกว่าเท่านั้น คือ OPA2132 แต่ถ้ารหัสต่อท้ายเป็น Standard grade มันจะเท่ากับ 2134 ที่ไม่มีตัวอัพเกรด)

** การเอาไปอัพเกรดแทน 5532 อาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร ขึ้นอยู่กับการออกแบบวงจรด้วย เพราะ 5532เป็น Bi-Polar แต่อันนี้เป็นแบบ JFET (ที่ต้องการ input ต่ำกว่า 2kOhm) แต่ 90% มันสามารถอัพเกรดแทนได้ (เพราะ JFET สามารถใส่แทน Bi Polar ได้เกือบทั้งหมด) ซึ่งนัก DIY ส่วนใหญ่จะแนะนำมือใหม่ให้เริ่มต้น  Upgrade 5532 เป็นตัวนี้ไปก่อน

** OPA2134 2132 เป็น Dual OpAmp ซึ่งมันใช้ OPA132 OPA134 แทนไม่ได้ เพราะมันเป็น Single OpAmp 

- OPA2111 เป็น op-amp ที่จริงๆแล้วตามสเปกแนะนำให้ใช้เป็นเครื่องมือวัด Monitor เสียมากกว่าที่จะเป็นเครื่องเสียง เพราะมันมีเสียงที่ค่อนข้างเป็นกลางมากๆ โดนเน้นไปที่ตัวถังแบบเหล็ก โดยมันจะเด่นที่เสียงแหลมที่ไปไกลกว่า ใสกว่า และกังวาลกว่า

- OPA602 เป็น Single op-amp ที่คนขายแนะนำว่าเสียงดี (เป็นอดีตตัว Top ของ Burr Brown ก่อน OPA637)

- TL071 ,072  ถือเป็น Op-Amp เจ้าตลาดราคาถูกเช่นเดียวกับ 5532 แม้มันจะมีประสิทธิภาพสูงกกว่า 5532 ในเกือบทุกด้าน  ใช้พลังงานก็น้อยกว่า แต่นักวิจารณ์ทุกคน ระบุว่า น้ำเสียงสู้ 5532 ไม่ได้เลยในทุดด้าน  โดยตามสเปกแล้วมันมีจุดอ่อน คือ เมื่อเสียงดังขึ้นมันก็จะยิ่งเพี้ยนมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้น Opamp ตัวนี้เหมาะกับการฟังเพลง เล็กๆน้อยๆ เท่านั้น
 
- OPA 275 มันเป็น Opamp ระดับเครื่องเสียง มีค่าตัว 7 เท่าของ 5532 แต่มันกลับมีความเพี้ยนที่สูง และยังมีสัญญาณรบกวนที่สูง  แถมไม่ชอบความถี่ต่ำอีกด้วย

-AD797 มันราคาแพงกว่า 5532 20 เท่า แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า 5532 และการออกแบบก็ง่ายพอ ๆ กับ 5532 ก็ตาม มันยังมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า 5532 พอสมควรเท่านั้น

-LM4562 เปิดตัวในปี 2550 แต่ราคาที่ค่อนข้างแพงมาก (ราคาเปิดตัวนั้นแพงเท่ากับ 12 เท่าของ 5532) มันถูกยกย่องให้เป็นผู้มาปราบ 5532 เพราะ 30 ปีในตลาดเครื่องเสียง ยังไม่มีชิป Opamp ที่ดีกว่านี้เลย จน National ออก LM4562 ออกมา  แม้ว่าจะเหนือกว่าทุกด้าน แต่มันไม่ทนต่อ สัญญาณรบกวนภายนอก ดังนั้น ต้องวางแผนป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกให้ดี 

- NE5532/5534 (ออกปี 1977) ถือเป็น op-amp แบบ Bi-Polar ในตำนานที่มีราคาถูก เครื่องเสียงราคาแพงๆ มักนำมันไปใช้ กรณี ที่แหล่งผลิตดีๆ จะถูกนำไปเทียบกับ Burr Brown ตัว Top เลยทีเดียว

มันมีสองเกรด คือ ของไทยตามบ้ามหม้อ และ  ยี่ห้อ Philips หรือ signetic (ความจริงมันยี่ห้อเดียวกัน เพราะ Philips มันเทคโอเวอร์ Signetic) มันถูกออกแบบวงจรโดย National Semiconductor เพื่อให้ชนะ LM741 ในทุกด้าน และมันยังถือเป็นตัวอัพเกรด ของ4558 อีกด้วย)

ในตลาด Audio ถือว่า มันแทบยึดครองตลาดบน -ตลาล่างมายาวนาน อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน มันมีราคาค่อนข้างถูก และหลุดจากเครื่องเสียงราคาแพงไปนานพอสมควร 

จุดเด่นด้านเทคนิกของ 5532 คือ มีสัญญาณรบกวนต่ำ ความผิดเพี้ยนภายในตัวมันเอง ก็น้อยมากๆ แต่ผลทดสอบในห้องแลปพบว่า ความเพี้ยนมักเกิดจาก Capacitor ที่จ่ายไฟให้มัน แม้ว่ามันจะต้องการใช้ Capacitor เพียง 100uF ก็พอ แต่หลายคนแนะนำให้ใช้ที่ 220uF แทน แต่เน้นว่าต้องเป็น Cap ที่มีความเพี้ยนน้อย (ดังนั้น การ Upgrade Cap สำหรับ NE5532 นั้นจึงมีความสำคัญมาก)  และต้องอยู่ไม่ไกลจาก 5532 ไม่เกิน 2-3มิลลิเมตรเท่านั้น และควรใช้ตัวเก็บประจุแค่ตัวเดียวเท่านั้นอีกด้วย)

บทสรุป  ในอดีต มันอยู่ระดับแนวหน้าของวงการ Audio แต่ปัจจุบัน มันไม่ใช่ระดับแนวหน้าอีกต่อไป โดยหากเครื่องเสียงที่ยังใช้ NE5532 นั้นมักจะโดนเปรียบเทียบกับ เครื่องเสียงญี่ปุ่น ยุค 70's ที่มีความเพี้ยนต่ำ แต่เสียงโคตรแย่ คือ ทื่อๆ ตรงๆ และแห้งผาก

- NJM4558 หรือ JRC 4558 

- LM747/741(Single) ถือเป็นยุคบุกเบิก ของ Opamp (ออกขายในปี 1968 เป็นรุ่นที่ 2 ต่อจาก LM709) ข้อเสียคือ ความเพี้ยนจะเพิ่มขึ้นตามความถี่ของเสียงที่สูงขึ้น แต่ข้อดีคือ มันราคาถูกที่สุด

นอกจากนี้ยังมี discrete opamp  ที่เป็นการประกอบชิั้นส่วนอิเลกโทรนิกส์ ขึ้นมาผ่านแผ่นปริ้นท์  จึงเห็นมันมีขนาดใหญ่กว่า IC 



เครื่อง Aiyima es901862m
เครื่องนี้ใช้ Opamp 3 ตัว สามารถอัพเกรดได้ทั้ง 3 ตัว 2 ตัวเป็น TI NE5532 ตัวแปลง I/V และ LPF - มันเป็นชิปที่ดีแค่ค่อนข้างเก่ามากๆ ส่วนใหญ่แล้วจะแปลงไปเป็น opa2604 (แนะนำที่สุด และได้เปลี่ยนเป็นตัวนี้แล้ว) หรือ AD825 opa2134(ถูก)) อีก ตัวเป็น Ti TL072 เป็น buffer (ทุกคนแนะนำให้แปลงเป็น opa2134pa) Capacitor 6.3V 470uf

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565

็HTPC - จอโทรทัศน์

สิ่งที่ต้องเรียนรู้ เกี่ยวกับภาพ จะมีดังนี้

1. Resolution 4K
ปัจจุบัน โทรทัศน์ส่วนใหญ่จะรองรับมาตรฐาน  4K (ในทางการตลาดเรียกว่า ชัดกว่า Full HD 4 เท่า)

แต่ความจริงแล้ว  4K จะมี 2 มาตรฐาน ดังนี้
1.1 มาตรฐาน อุตสาหกรรมโทรทัศน์ คือ 3840x2160 หรือ เรียกว่า 4K UHD
1.2 มาตรฐาน อุตสาหกรรมภาพยนตร์ (โรงหนัง) จะใช้  4096x2160 หรือเรียกว่า DCI 4K

2. Refresh Rate 
บางคนจะใช้ Hz (เฮิร์ต) เป็นสัญลักษณ์ ว่า จอภาพสามารถแสดงภาพนิ่งได้กี่ภาพ หรือ เฟรม   ภายใน 1 วินาที  จึงเป็นที่มาของคำว่า Frame Rate per second หรือ fps ปัจจุบัน โทรทัศน์ส่วนใหญ่รองรับที่ 60Hz ขณะที่จอคอมพิวเตอร์ระดับสูงไปถึง 144Hz แล้ว คือ ถ้ายิ่งมาก ภาพจะยิ่งลื่นไหลมากขึ้น แต่ จะกินทรัพยกรในการถอดรหัสอย่างมาก

แต่การปรับค่าที่สูงเกินไปก็อาจจะไร้ประโยชน์ เพราะภาพยนตร์ส่วนใหญ่ถ่ายทำที่ 23.97 fps เท่านั้น 

3. YUV / YCbcr และ RGB (ส่งสัญญาณไปโทรทัศน์)

ทั้งหมดเป็นการเข้ารหัส เพื่อแจกแจงสี (Luminance) ของจอภาพ (เครื่องเล่นจะส่งสัญญาณอะไรออกมาให้โทรทัศน์ได้รับไป)

YUV และ YCbcr ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน แต่ YUV จะเป็นมาตรฐานสำหรับ อุตสาหกรรมโทรทัศน์ โดยเฉพาะ สัญญาณอนาลอก เช่น PAL NTSCส่วน YCbcr นั้น จะเป็นมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น

ส่วนใหญ่ตัว Y จะหมายถึง ความสว่าง Brightness ส่วน U-V จะเป็นการเทียบสีกับแสงสีฟ้า และ Vเทียบกับแสงสีแดง
ดังนั้นภาพหนึ่งภาพ ของ YUV จะเกิดจาก Y ขาวดำ U ฟ้า และ V แดง

RGB จะแยกเป็น Red Green Blue ตรง
RGB24 จะหมายถึง 8 Bits นั่นเอง  (8x3)
RGB32 จะหมายถึง 8 Bits แบบพิเศษ คือมันจะมี มากกว่า RGB มาอีก 1 ตัว เป็น 8x4 (ตัวพิเศษจะเรียกว่า  transparency mask)
RGB48 จะหมายถึง 16 Bits (16x3)


ถึงตรงนี้ มีคำถามว่า ถ้าให้เลือกปรับ YUV กับ RGB ควรปรับเป็นอะไร เขาแนะนำให้ปรับ เป็น YUV ภาพจะออกมาดีกว่า  เพราะ YUV จะมีประสิทธิภาพที่มากกว่า และ ใช้ Bandwidth ที่น้อยกว่ามาก

4. 444 422 420 (แสงและสี)
คือการเก็บข้อมูลใน 1 Pixel ว่ามีความละเอียดเท่าไหร่ โดย 444 เก็บข้อมูล ความสว่าง(Luma)  และ สี(Chroma)  ซึ่ง 444 ก็จะเก็บข้อมูลที่ขนาดใหญ่กว่าด้วย

ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับข้อ 3 ยกตัวอย่างเช่น YUV442 (จะเรียกรหัสสั้นๆ เป็น I442) 

5. 8 10 12 16Bits (สีอย่างเดียว)
มันคือ Color bit Depth คือ เฉดสี ยิ่งละเอียดมาก ภาพก็จะยิ่งเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น บางทีใช้ศัพท์ว่า  HDR8 HDR10 แต่บางทีจะซ่อนมา ซึ่งเราไม่รู้  เช่นคำว่า  Dolby Vision จะใช้ที่ 12Bits 
โดย 8Bit จะอยู่ที่ 16 ล้านสี 10Bit จะได้ 1 พันล้านสี  12Bit จะได้ 68 พันล้านสี

ย้อนกลับไปข้อ 3 จะมี YV12 คือ YUV420 12Bits  นั่นเอง








วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

Volkswagen Golf Mk3 : upgrade Brake

รวมความรู้เรื่องเบรค สำหรับ Volkswagen Golf Mk3 อัพเกรด ดังนี้

หากไม่รู้ว่า จานเบรคควรอยู่ที่ขนาดเท่าไหร่ เรามีรถยนต์ให้เทียบดังนี้

1. Jazz GD + City ZX  240mm
2. Yaris + Vios 2002-2015 (2 รุ่น)  255mm
3. Benz C200 W202  284mm
4. Civic FD Type R EP3 300mm
5. Accord Gen9  293mm

อย่างไรก็ดี คำแนะนำสำหรับมือใหม่ก่อนเลย คือ ต้องเข้าใจว่า หากคุณไม่ได้อัพเกรดเครื่องยนต์ การเปลี่ยนเบรคจานใหญ่ จะทำให้ ความแรงของเครื่องยนต์โดนลดทอนลงมา หรือเรียกว่า วิ่งอืดขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการแปลงใส่จานเบรคขนาดใหญ่กว่าเดิมมากๆ และต้องเปลี่ยนล้อที่ใหญ่ขึ้น อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับรถยนต์ทั่วไป และอีกอย่างคือ มันกินน้ำมันมากขึ้นด้วย

ขนาดสำหรับรถทั่วไป
ล้อ 15 ใส่จานได้ขนาดสูงสุด  280mm (ต้องวัดดวงจาก ก้านของล้อแม็คด้วย)
ล้อ 16  ใส่จานได้ขนาดสูงสุด 300mm (ต้องวัดดวงจาก ก้านของล้อแม็คด้วย)
ล้อ 17  ใส่จานได้ขนาดสูงสุด 328 mm  หากต้องการใส่จานขนาด 328 มากกว่านี้ ต้องทำอีกเยอะ เช่น เจียซุ้มล้อ เปลี่ยนโช็คแข็ง  (ไม่แนะนำให้ทำ เพราะจะทำให้ การดูแลรถ ลำบากมากขึ้น)

Volkswagen Golf Mk3 2.0
ขนาดมาตรฐานโรงงาน ประมาณนี้
หน้า
256mm(10.1") 13 mm 4x100
256mm(13") 20 mm  สูง 38 mm  เป็นแบบระบายอากาศมี 2 ชั้น (คาลิปเปอร์ รุ่น Girling 54 รุ่นจานชั้นเดียว) 4x100
VR6 280mm  22mm 5x100  (คาลิปเปอร์  รุ่น Girling 54 จะเห็นว่า ใช้จานขยายเท่านั้น แต่ขยายจาก 256 ไป288 เลย)
GTi 288mm (20) 22mm  5x100 (รุ่นนี้เปลี่ยน Caliper เป็น Girling 60) ที่สำคัญคือ ล้อต้องขนาด 16 นิ้วขั้นต่ำแล้ว

หมายเหตุ Girling ก็คือ Lucus บางทีเรียก Girling/Lucus นั่นเอง ส่วน 54 คือ กระบอกสูบปั้มเบรค ขนาด 54 mm เท่านั้นไม่ใช่ชื่อรุ่นที่แท้จริง โดยเฉพาะขนาด หรือ ผ้าเบรคก็แตกต่างกันออกไป

หลัง
239mm(10) 12 mm 4x100  เบรครุ่นนี้จะใช้มาตั้งแต่ Mk1 - Mk3 เลยทีเดียว
239mm(10) 20 mm 5x100  คาลิปเปอร์ทั้ง 2 รุ่นยังเป็นเหล็กหล่อ

ในไทยจะมี 2 รุ่นคือ รุ่น 239 กับ 256 mm 2 ชั้น แต่ รุ่นนี้ข้อเสียคือ ปั้มเล็ก และมีแค่ Pot เดียว เทคโนโลยีเก่ามาก เพราะใช้มาตั้งแต่ MkII (90-92) ที่สำคัญคือ ส่วนใหญ่ คาลิปเปอร์ เป็นเหล็กหล่อที่มีน้ำหนักมาก

ถ้าใช้จานรุ่น 256  สามารถอัพเป็น Mk4 ก่อนรุ่น Turbo หรือ รุ่นใหญ่ได้เลย แค่แปลงจานรู 5 รูให้เป็น 4 รู

Volkswagen Gofl Mk3 GTi
ขนาดจาก 288(25) 
Volkswagen Golf Mk3 VR6 จะใช้ Girling54 จานมีขนาด 10.1" แต่บางครั้งจะพบ 10.8-11.3" ข้อดีคือ แม้จะมี Pot เดียวแต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมา
ข้อดีของ การเปลี่ยน Hub เป็น VR6(280) แล้วคือ มันสามารถอัพเป็น Mk4 รุ่น 1.8T (288)ได้เลย

Volkswagen Corrado G60 11" (ถ้าจะใช้ต้องเอา Girling 54 calipers และตัวหิ้วจาก Corrado G60 มาด้วย ส่วนจานมัน 4 /100 อยู่แล้ว บางคนบอกว่า แค่เปลี่ยนจาน คาลิปเปอร์เดิม)

Volkswagen Golf MK4 , New Beetle Audi TT (Gen 1)  
จานจะมีตั้งแต่ 280(22) 288(25) 232 (11นิ้ว)(แต่ประเด็นคือมัน 5 รู 100)
โดยมีข้อดี สำหรับการอัพเกรดเบรค Mk3 คือ คาลิปเปอร์เบรคหลัง เป็นอลูมิเนียม และสามารถใส่แทนของเก่าได้เลย (แต่ความจริงคือ เบรคหลังของ Mk3 ขนาด 
239mm(10) 12-20 mm แต่เบรคหลัง Mk4 ขนาด 232 mm 9 mm แต่จะเห็นว่ามันเบากว่ามาก

แต่หากใครใช้ Mk4 อยู่เมืองนอกแนะนำให้อัพเป็นรุ่น 312mm เพราะแทบไม่ต้องแปลงอะไรเลย หาจานกับ คาลิปเปอร์มาเสียบแทนของเก่าได้เลย

VW Golf R32 | Audi TT 3.2 Quattro
หน้า  334 mm หนา 32 mm  คาลิปเปอร์  แบบคู่ 32+42mm (ต้องใช้ล้อขนาด 17 นิ้วขึ้นไปต้องไปลุ้นก้านแม็ คอีกต่างหาก)
หลัง 256 mm หนา 22 mm  ยี่ห้อ Lucas ลูกสูบเดี่ยว 38mm

Volk Golf GTi   Aniversery  V5   V6 (Audi TT Quattro 225hp ) 
ถือเป็นเป้าหมายของคนที่เปลี่ยนช่วงล่างเป็น  Mk3 VR6  แล้วกันเลยทีเดียว แต่ต้องใช้ล้อต้อง 17 นิ้ว
หน้า 312 mm 25 mm ยี่ห้อ Ate ลูกสูบเดี่ยว 54 mm (ล้อต้องมีขนาด 16 นิ้วขึ้นไป)
หลัง 256 mm 22 mm ยี่ห้อ Lucas ลูกสูบเดี่ยว 38 mm

รุ่นนี้ถือเป็นเป้าหมายของ Mk4 เลยทีเดียว แต่ที่นิยมกว่า คือ ต่างชาติเขามักจะเลือกใช้คาลิปเปอร์ของ Porsche Boxster 996 ที่มีขนาดจานเบรคเท่ากัน เพราะมันเป็นโมโนบล็อก ที่เบากว่ารุ่นแต่งของ Brembo เสียอีก  โดยมีขนาดลูกสูบ 36 กับ 40 (แต่ระวัง มันจะมีรุ่นที่ไม่ต้องแปลงกับรุ่นที่ต้องแปลง) 

Audi TT (180ม้า)
หน้า 312 mm(12.3) 25 mm ยี่ห้อ Ate ลูกสูบเดี่ยว 54 mm (ถ้า Volk Mk4 ต้องอัพเกรดรุ่นนี้ต้องเอาช่วงล่างบางส่วน โดยเฉพาะคอม้าจากรุ่น 1.8T มาด้วย)
หลัง 232 mm 9 mm ยี่ห้อ Lucas ลูกสูบเดี่ยว 38 mm

Volk Golf IV GTi 1.8T VR6 130-150 TDI V5 150
หน้า 288 mm (11.3)25 mm Ate ลูกสูบเดี่ยว 54 mm
หลัง 232 mm 9 mm

Volk Golf IV 2.0 8v TDI 
หน้า 280 mm (11.0) 22 mm  ลูกสูบเดี่ยว (ตัวหิ้วคาลิปเปอร์ ผสมเข้าไปใน Hub)
หลัง 232 mm 9 mm

Volk Golf 1.4 16V  8V
หน้า 256 mm(10.1) 22 mm  ลูกสูบเดี่ยว (ตัวหิ้วคาลิปเปอร์ ผสมเข้าไปใน Hub)
หลัง 232 mm 9 mm

Volkswagen Golf Mk5
Volkswagen Golf Mk5 GTi
 
หน้า จานขนาด  12.3"  4 Calipers ต้องล้อ 16 นิ้วขึ้นไป

Volkswagen Golf Mk5 R32 3.2L V6
หน้า จานขนาด 345 mm 22mm (มาพร้อมกับล้อมาตรฐาน 18 นิ้ว)
หลัง จานขนาด 310 mm 22 mm Bore Diameter 65

Audi TT Gen 2
 
หน้า จานขนาด 12.3" หลัง 11"  ประเด็นคือ ล้อต้องใหญ่กว่า 16 นิ้ว

Volkswagen Scirocco 
หน้า จานขนาด 330 mm คาลิปเปอร์ 4 Pot 


Volkswagen Golf Mk7 (1.0-2.0Td )
เบรคหน้า 272mm 10 mm (จานชั้นเดียว)  จะใช้ทั้งยี่ห้อ Ate และ TRW แล้วแต่ใครได้ยี่ห้อไหน 
เบรคหน้า 288mm 25 mm (จาน 2 ชั้น)
เบรคหลัง Ate

Volkswagen Golf Mk7 GTi  (2.0 Turbo 290 แรงม้า)
หน้า TRW 
หลัง 272mm Ate

Volkswagen Golf Mk7 GTi R (Audi S3 2.0 Turbo 300 แรงม้า)
หน้า TRW
หลัง 310mm Ate

KoolAuto : Carbon Fiber (CF) หรือ เส้นใยคาร์บอน

เริ่มแรก มือใหม่หัดซิ่งจะสงสัยว่า มันดีกว่าเดิมอย่างไร ? เริ่มแรก เราจะแนะนำว่า รถสปอร์ตในอดีต จะใช้ ไฟเบอร์กลาส (เส้นใยแก้ว Glass-Fiber) มาขึ้นรูป แล้วเสริมความแข็งแรง ด้วย เคฟล่าร์ หรือ เส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์นั่นเอง

ข้อดีคือ น้ำหนักที่เบา 


เราจะเรียงเทคโนโลยี ความเบา ไปตามนี้
1. Glass Fiber ในอดีต ถือเป็นวัสดุที่เบา และขึ้นรูปง่ายกว่า เหล็ก และ อลูมิเนียมอีก แถมยังไม่เป็นสนิมอีกด้วย ที่สำคัญสุดคือ ความจริงแล้ว หากเป็นการผลิตแบบจำนวนน้อย มันก็มีต้นทุนการสร้างที่ถูกกว่าอีกด้วย เพราะมันต้องการเครื่องมือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

มันเป็นที่นิยมมาก สำหรับรถสปอร์ตซุปเปอร์คาร์ในช่วงทศวรรษที่ 60 โดยเฉพาะการเอาไปสร้างเป็น Chasis โดยเฉพาะ Lotus Elite แต่ข้อเสียของมันคือ ข้อต่อต่างๆ และจุดยึดน๊อตที่ไม่ดีเท่าที่ควร และชิ้นส่วนต้องไม่มีแรงเค้นมากนัก

2. Carbon-Fiber  มันถูกใช้ครั้งแรกๆ ในอุตสาหกรรมการบิน และอวกาศ รวมถึง รถแข่ง เหตุผลเพราะมันมีอัตราส่วน ปริมาตรต่อน้ำหนักที่อยู่ในขั้นสูงเลยทีเดียว มันเริ่มเห็นตั้งแต่ Ferrari 288GTO และ Porsche 959 

Carbon Fiber จะมีลักษณะคล้าย ผ้าถักทอ (มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 5-10 ไมโครเมตร โดยประกอบไปด้วย อะตอมของคาร์บอนเป็นหลัก) โดยอีกด้านจะเป็นอลูมิเนียมฟอลย์ มันสามารถเอาไปแปะกับวัสดุได้หลากหลาย ด้วย Resin ทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง ด้วยความร้อน 120องศา และแรงดัน 90PSI  หลังจากเสร็จกระบวนการ คาร์บอนไฟเบอร์จะหลอมเป็นชิ้นดียวกัน 

ทุกวันนี้ รถยนต์ซูปเปอร์คาร์ ส่วนใหญ่จะใช้ Carbon Fiber เกือบทุกชิ้นแล้วที่ใช้ได้ (ใช้จนมากกว่าอลูมิเนียมอีก)

ประวัติของคาร์บอน ไฟเบอร์

มันเกิดมาตั้งแต่โลกเริ่มมีหลอดไฟ ใช่ โธมัส เอดิสัน เป็ฯคนนำเส้นไม้ไผ่ เผาไฟให้เป็นคาร์บอน เพื่อใช้สร้างไส้หลอดไฟครั้งแรกของโลก แต่มันมีส่วนผสมของคาร์บอน เพียง 20% เท่านั้น ต่อมาจึงมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามพัฒนา ให้เส้นใยคาร์บอนที่สูงขึ้นๆ 

จนในที่สุด ก็ใช้ เรยอน มาผลิต คาร์บอน ไฟเบอร์ ที่ได้สูงถึง 99% ตอนนี้มันมีความแข็งแรงเพียงพอ และยังมีแรงต้านแรงดึงที่สูงมาก และทนต่อสารคเคมี ที่ดีมากแล้ว ที่สำคัญคือ เมือ่เทียบกับน้ำหนัก มันเป็นวัสดุที่เยี่ยมเลยทีเดียว

แต่ในช่วงทศวรรษที่ 60 อุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเร่งพัฒนา การผลิตคาร์บอนไฟเบอร์จากผลิตภัณฑ์จากน้ำมันสำเร็จ แม้ว่าจะมีคาร์บอนเพียง 85% ก็ตาม แต่ต้นทุนการผลิตก็ลดลงอย่างมาก

ถัดมา ก็เริ่มมีการพัฒนา จนเป็นเบอร์ T400 (ทนแรงดึง 4000Mpa) Im600 (ที่ทนแรงดึง 6000Mpa) ซึ่งเป็นชื่อการตลาด ที่วัดกันที่แรงดึงของแต่ละบริษัทมากกว่า ปัจจุบัน แม้ว่าอุตสาหกรรมการบินจะใช้ที่ระดับ 10000Mpa แต่สำหรับอุตสากรรมรถยนต์แล้วจะใช้ทนแรงดึงกันที่ 5000Mpa เป็นหลักเท่านั้น

(ขออธิบายแบบนี้ครับ เนื่องจากมันเกิดจากอะตอมโมเลกุลเดี่ยวของ คาร์บอน ยิ่งทำให้มีขนาดเล็กเท่าไหร่ ก็ทนแรงดึงได้ดีเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น Im600 จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 5 ไมโครเมตรเท่านั้น นี่คือปัจจัยที่ทำให้ของดี กับของถูกต่างกันเล็กน้อย)

ถึงตอนนี้ในปี 2549 สิทธิบัตร คาร์บอนไฟเบอร์ก้เป็นของมูลนิธิมหาวิทยาลัยเทนเนสซี ซึ่งหมายความว่า ใครจะเอาไปใช้ก็ได้แล้ว

เคฟลาร์ คืออะไร
เคฟลาร์นั้น จะคล้ายกับ คาร์บอนไฟเบอร์ เกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะแรงต้านทานการดึงก็ใกล้เคียงกับ คาร์บอนไฟเบอร์ แต่มันกลับแข็งแรงน้อยกว่าคาร์บอนไฟเบอร์ อีกด้วย แต่ก็มีข้อทดแทน คือ มันยืดหยุนได้สูงกว่า คาร์บอนไฟเบอร์ (เหตุผลที่บอกว่า ใกล้เคียงกัน เพราะ ตามที่อธิบายไปข้างต้น คือ คาร์บอนไฟเบอร์นั้นมีหลายเกรด)

อย่างไรก็ดี เคฟลาร์นั้นจะมีส่วนประกอบของ อะตอมไนโตรเจน เข้ามาผสมด้วย และยังมีพันธะเคมของ ไฮโดรเจนอีกด้วย ทำให้ เคฟลาร์นั้นไม่ค่อยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่เริ่มต้นนั้น ผู้ผลิตก็ประกาศทันทีว่า เคฟลาร์ มันแข็งแรงกว่าเหล็ก 5 เท่า

ดังนั้น มันจึงไม่เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่กลับไปได้ดีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ มากกว่า ยกตัวอย่างเช่น เสื้อกันกระสุน หรือ ถุงมือนักบินอวกาศ  แต่เคฟล่าร์ มันก็ใช้ในเป็น เส้นใย สำหรับยางรถยนต์สำหรับแข่งขันอีกด้วย

น้ำหนัก
ส่วนใครที่มาบอกเด็กมือใหม่ว่า เคฟลาร์นั้นเบากว่า คาร์บอนไฟเบอร์ นั้น บอกเลยว่า ถูกหลอก แน่นอน เพราะความจริงแล้ว น้ำหนักของทั้ง 2 อย่างนั้น ไล่เลี่ยกัน แต่ไปวัดกันที่ใครเท เรซิ่น หรือ Epoxy หนากว่ากันมากกว่า












วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565

HTPC : ปัญหากับ Onkyo Reciever

การแก้ปัญหาเบื้องต้น

การรีเซ็ตค่าโรงงาน
กด VCR (บางรุ่นตำแหน่งนี้จะเป็น CBL) ค้างไว้ +  กดปุ่มเปิด On/off ค้างไว้ด้วยกัน จนหน้าจอขึ้น Clear
บางรุ่นจะกดดังนี้ Stereo (3วินาที) + StandBy  หน้าจอขึ้น Reset กด Surround หน้าจอขึ้น Ok กด DSP

การเข้า Audio Debug Mode
กด Display
ค้างไว้ 3 วินาที แล้วกดปุ่มเปิด/ปิด พร้อมกันจะเข้า Debug Mode  โดยบางรุ่น   มันอาจจะโชว์ชั่วโมงการทำงาน 
ครั้งแรกจะแสดง Microprocessor ว่า Version อะไร
ถัดมา กด Tone + (ภายใน 3 วินาที) มันจะแสดง DSP เวอร์ชั่นอะไร
ถัดมา กด Display อีกครั้ง มันจะเข้า Audio Debug Mode เต็มตัว
ถัดมา กด  Tone + - มันจะเป็น Audio Debug Mode

มันจะขึ้น ตัวเลข 3 ชุด ดังนี้ xxxxxx : xx : xx 
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไปกดปุ่ม Pure หน้าจอต้องขึ้น 020000 : DA : 40   

การเข้า HDMI Debug Mode 
ให้เริ่มต้นด้วยการเข้า เช่น VCR แล้วเสียบสายให้เรียบร้อย 
ต่อมากด Display ค้างไว้  มันจะต้องบอก Resolution และ Refresh Rate
ถ้าขึ้น Unknow จะแปลได้ว่า No Signal 

การเข้า Service Information Mode
เริ่มต้นเข้าเหมือน Audio Debug Mode คือกด Display พร้อมกับ ปุ่มเปิดปิดเครื่อง
ต่อมากด Home  >> หน้าจอจะบอก อุณหภูมิว่า ฮีทรึเปล่า กระแสไฟมายังไง



แต่ประเด็นที่สำคัญคือ HDMI Board ที่มักจะเสียที่ ประมาณ 20,000 ชั่วโมง
1. แนะนำให้เปลี่ยนไปทั้ง Capacitor ไปด้วยเลย 
2. Chip DTS  บนบอร์ด เนื่องจากบอร์ดเหล่านี้มักใช้ตะกั่วเหลว รุ่นทนความร้อนน้อย ทำให้ บางทีเราอาจเป่าลมร้อนเข้าไปก็เรียบร้อยแล้ว


กรณี ต้องการใช้ Analog แต่ HDMI เสีย จะต้องบังคับเข้า Mode Analog เลย Input HDMI ต้องให้มันข้ามเลย

1. สิ่งแรกคือ ต้องลง Driver Realtek ให้ถูกต้องให้หมดก่อน

2. พยายามอย่าให้ Hdmi เป็น audio Pass Through  เพราะมันจะส่งผ่านไปโทรทัศน์ ถ้าคุณให้มันผ่านไปที่ โทรทัศน์ มันจะเป็น TV แทน ซึ่ง รีซีฟเวอร์ แมันจะบนเสียง แค่ Stereo 

เราต้องเข้าไปที่  Setup >> Hardware >> HDMI >> HDMI Audio Out : off


2. upgrade Windows 10 เป็น Pro

3.