Advertising

..

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2565

การเมืองไทย 101 : 2551 คดีพิศดาร เปิดพจนานุกรม ปลด นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช

คดีปลด นายกสมัคร สุนทรเวช



29 มกราคม 2551 ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ชื่อ  สมัคร สุนทรเวช โดยเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน  

แต่เพียงกี่เดือน คือ เดือนพฤษภาคม 2551 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา พร้อมคณะ ส.ว.ไปยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการจัดรายการโทรทัศน์ ชิมไป บ่นไป ทางช่อง 3 เป็นการผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน หรือไม่

โดย รัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ห้ามนายกฯ มีตำแหน่งใดๆ ในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์กรที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไร หรือ รายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็น ลูกจ้างของบุคคลใด หากมีการกระทำตามมาตรานี้ จะทำให้สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7)

ประเด็นลูกจ้าง
วันที่ 9 กันยายน 2551 ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดย นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย กรณี ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของ ส.ว.จำนวน 29 คน และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะผู้ร้องที่ 1-2 ตามลำดับ เพื่อขอให้วินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) และมาตรา 267 ประกอบ 182 วรรคสาม และมาตรา 91 กรณีการจัดรายการ “ชิมไปบ่นไป” และรายการ “ยกโขยงหกโมงเช้า” ดังนี้

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้อง คำชี้แจง การแก้ข้อกล่าวหา เอกสารประกอบ พยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และคำเบิกความจากพยานบุคคลแล้ว เห็นว่าคดีทั้ง 2 มีพยานหลักฐานที่เพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ โดยมีการกำหนดประเด็นที่พิจารณาวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรค 1 (7) ประกอบมาตรา 267 เพราะเหตุผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งใดในบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่มุ่งหาผลประโยชน์ กำไร หรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบริษัทดังกล่าวหรือไม่

มีปัญหาประการแรกที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องเป็นลูกจ้างของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัดหรือไม่?

พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ซึ่งบัญญัติห้ามนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นลูกจ้างของบุคคลใด เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นไปโดยชอบ ป้องกันมิให้เกิดการกระทำที่เกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ อันจะก่อให้เกิดสถานการณ์ขาดจริยธรรมซึ่งยากในการตัดสินใจทำให้ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์สาธารณะ เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์สาธารณะ ฐานขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ จึงขัดกันในลักษณะที่ประโยชน์ส่วนตัว จะได้มาจากการเสียไปซึ่งประโยชน์สาธารณะ

การทำให้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวบรรลุผล จึงไม่ใช่แปลความคำว่า “ลูกจ้าง” ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 เพียงหมายถึงลูกจ้างตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือตามกฎหมายภาษีอากรเท่านั้น เพราะกฎหมายแต่ละฉบับย่อมมีเจตนารมณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งแตกต่างกันไปตามเหตุผล และการบัญญัติกฎหมายนั้นๆ

ทั้งกฎหมายดังกล่าวก็ยังมีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ และยังมีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันการกระทำที่เป็นการกระทำขัดกันแห่งผลประโยชน์แตกต่างจากกฎหมายดังกล่าวอีกด้วย

อนึ่ง รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์การปกครองประเทศ เนื่องจากตั้งรับรองสถานะของสถาบันและสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กำหนดพื้นฐานการดำเนินการของรัฐ เพื่อให้รัฐได้ใช้เป็นหลักใช้ปรับกับสภาวการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้องตามเจตนารมณ์

ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ตัดสินให้นายสมัครพ้นจากตำแหน่ง ในวันที่ 9 กันยายน ปีเดียวกัน
ดังนั้น คำว่า ลูกจ้างตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 จึงมีความหมายกว้างกว่าคำนิยามของกฎหมายอื่น โดยต้องแปลตามความหมายทั่วไป ซึ่งตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของคำว่าลูกจ้างว่า หมายถึงผู้รับจ้างทำการงานผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยได้รับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร โดยมิคำนึงถึงว่าจะมีการทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ หรือได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง สินจ้าง หรือค่าตอบแทนในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินอย่างอื่น หากมีการตกลงเป็นผู้รับจ้างทำการงานแล้ว ย่อมอยู่ในความหมายของคำว่าลูกจ้าง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ทั้งสิ้น

มิฉะนั้นผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ที่รับจ้างรับค่าจ้างเป็นรายเดือนในลักษณะสัญญาจ้างแรงงาน เมื่อได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีก็สามารถทำงานต่อไปได้ โดยเปลี่ยนค่าตอบแทนจากค่าจ้างรายเดือน มาเป็นสินจ้างตามการทำงานที่ทำ เช่น แพทย์เปลี่ยนจากเงินเดือนมาเป็นค่ารักษาตามจำนวนคนไข้ ที่ปรึกษากฎหมายก็เปลี่ยนจากเงินเดือนมาเป็นค่าปรึกษาหรือค่าทำความเห็นมาเป็นรายครั้ง ซึ่งก็ยังผูกพันกันในเชิงผลประโยชน์กันอยู่ระหว่างเจ้าของกิจการกับผู้ที่รับทำงานให้ เห็นได้ชัดเจนว่ากฎหมายย่อมไม่มีเจตนารมณ์ให้หาช่องทางหลีกเลี่ยงให้ทำได้โดยง่าย

ข้อเท็จจริงได้จากการไต่สวนผู้ถูกร้อง หลังจากผู้ถูกร้องเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ผู้ถูกร้องยังเป็นพิธีกรในรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยงหกโมงเช้า” ให้กับ บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เมื่อพิเคราะห์ถึงลักษณะกิจการงานที่บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ได้กระทำร่วมกันกับผู้ถูกร้องมาโดยตลอดเป็นเวลาหลายปี โดยบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เพื่อมุ่งค้าหากำไร ไม่ใช่เพื่อการกุศลสาธารณะ และผู้ถูกร้องได้รับค่าตอบแทนอย่างสมฐานะ และภารกิจเมื่อได้กระทำในระหว่างที่ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี จึงเป็นการกระทำและนิติสัมพันธ์ที่อยู่ในขอบข่ายที่มาตรา 267 ประสงค์จะป้องปรามเพื่อไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนกับภาคธุรกิจเอกชนแล้ว

ทั้งยังปรากฏจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้ถูกร้องในหนังสือ “สกุลไทย” ฉบับที่ 47 ประจำวันอังคารที่ 23 ตุลาคม 2544 หน้า 37 อีกด้วยว่า การทำหน้าที่พิธีกรกิตติมศักดิ์รายการโทรทัศน์ “ชิมไปบ่นไป” ที่ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 10.30-11.00 น. ทางสถานีไอทีวี ผลิตรายการโดยบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัดนั้น ผู้ถูกร้องได้รับเงินเดือนจากบริษัทเดือนละ 8 หมื่นบาท

สำหรับหนังสือของ นายศักดิ์ชัย แก้ววรรณีสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ที่มีถึงผู้ถูกร้องลงวันที่ 15 ธันวาคม 2550 ปรึกษาว่าผู้ถูกร้องจะดำเนินการอย่างไรในการเป็นพิธีกรรับเชิญในรายการ “ชิมไปบ่นไป” และหนังสือของผู้ถูกร้องมีถึงนายศักดิ์ชัย ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2550 แจ้งว่าผู้ถูกร้องจะทำให้เปล่าๆ โดยไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนเป็นค่าน้ำมันรถเหมือนอย่างเคยนั้น ผู้ถูกร้องไม่เคยแสดงหนังสือทั้ง 2 ฉบับนี้มาก่อนจะถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งเรียกให้ชี้แจง โดยผู้ถูกร้องชี้แจงเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 และยังคงยืนยันเสมือนว่า ก่อนเดือนธันวาคม 2550 ผู้ถูกร้องได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าน้ำมันรถเท่านั้น

ซึ่งขัดแย้งกับคำเบิกความของนางดาริกา รุ่งโรจน์ พนักงานบัญชีของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด และหลักฐานทางภาษีอากรดังกล่าวข้างต้น ที่ว่าก่อนหน้านั้นผู้ถูกร้องได้รับค่าจ้างแสดง ไม่ใช่ค่าน้ำมันรถ อันเป็นข้อพิรุธ ส่อแสดงว่าเป็นการทำหลักฐานย้อนหลัง เพื่อปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าตอบแทนของผู้ถูกร้อง ทั้งผู้ถูกร้องเองเบิกความว่าผู้ถูกร้องไม่ได้รับค่าน้ำมันรถ และค่าใช้จ่าย น่าจะเป็นการนำเงินไปให้คนขับรถมากกว่า ก็ขัดแย้งกับคำชี้แจงของผู้ถูกร้อง ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ที่ให้การว่า การที่ผู้ถูกร้องได้รับเชิญไปในรายการ “ชิมไปบ่นไป” น่าจะได้รับค่าพาหนะ โดยค่าพาหนะจะได้รับเฉพาะเมื่อไดไปออกรายการเท่านั้น ถ้าไม่ไปออกรายการตามที่เชิญมากก็ไม่ได้รับค่าพาหนะ จึงรับฟังเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้

พยานหลักฐานทั้งหมดมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องทำหน้าที่พิธีกรในรายการ “ชิมไปบ่นไป” หลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยผู้ถูกร้องยังคงได้รับค่าตอบแทนที่มีลักษณะเป็นทรัพย์สินจากบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องเป็นพิธีกรให้แก่บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด จึงเป็นการรับจ้างการทำงานตามความหมายของคำว่า “ลูกจ้าง” ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 แล้ว กรณีถือได้ว่าผู้ถูกร้องเป็นลูกจ้างของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องจึงสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7

อนึ่ง มีตุลาการรัฐธรรมนูญ 6 คน เห็นว่าผู้ถูกร้องเป็นลูกจ้างของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในปัญหาว่าผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งใดในบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัดหรือไม่อีก

ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 3 คน เห็นว่าการเป็นพิธีกร การใช้ชื่อรายการ “ชิมไปบ่นไป” และใช้รูปใบหน้าของผู้ถูกร้องในรายการของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันพึงได้แก่กิจการที่ทำนั้น ในลักษณะที่เป็นหุ้นส่วนร่วมกัน ดังนั้น การกระทำของผู้ถูกร้องให้แก่บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด จึงเป็นการดำรงตำแหน่งในห้างหุ้นส่วน โดยมุ่งหาผลกำไร หรือรายได้มาแบ่งปันกัน และไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาว่า ผู้ถูกร้องเป็นลูกจ้างบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 หรือไม่อีก

อาศัยเหตุผลข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ จึงวินิจฉัยว่าผู้ถูกร้องกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 มีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้องกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว

เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 จึงเป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคหนึ่ง (1) แต่ด้วยความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีเป็นการสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ทำให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่เหลือ จึงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181

สรุปให้เข้าใจง่ายดังนี้นะครับ
1. รัฐธรรมนูญ ระบุ นายกรัฐมนตรี ห้ามเป็นลูกจ้าง ของบุคคลใด  จึงโดน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นตีความตามศาลรัฐธรรมนูญ
2. ทนายฝ่ายจำเลย ยืนยันว่า นายสมัคร สุนทรเวช  ไม่ได้เป็น ลูกจ้าง ตามนิยามของ  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ประมาณว่า ต้องรับเงินเป็นประจำ เช่นเงินรายวัน รายเดือน รายปี แต่นายสมัครรับตามงาน)
3. ผู้พิพากษา อ้างอิง นิยาม คำว่า ลูกจ้าง ตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542  โดยอ้างว่า รัฐธรรมนูญ นั้น ต้องมีความหมายกว้างกว่า และมีศักดิ์กฎหมายสูงกว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
4. ปลดนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช  แต่ประชาชนต่างล้อกันว่า ศาลเปิดดิก เพื่อแปลความหมายกันเลยทีเดียว เพื่อปลดตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ในความผิดฐาน ทำกับข้าวออกโทรทัศน์ 

เป็นคดีที่สร้างความขุ่นมัวให้นายสมัคร และบ่นถึงเรื่องนี้มาตลอดอย่างต่อเนื่อง…


เสมือนสวมพระเครื่องอันเรื่องเวทย์

ประนมเดชมอบดวงใจให้ทุกสิ่ง

แต่องค์พระกลับล้วงเข้าช่วงชิง

จนได้รู้ความจริงอันเจ็บใจ

สิ่งที่สูงกลับต่ำนั้นตำเนตร

ใจสมัคร สุนทรเวชจึงหมองไหม้

เฝ้าจงรักภักดีมิรู้คลาย

ขอกัดฟันลาตาย……ไม่ถวายพระพร

กลอนบทนี้ มีการยืนยันแล้วว่า ไม่ใช่กลอนที่ จักรภพ เพ็ญแข แต่งขึ้น (เป็นคนละบทกลอนกัน)
แต่ก็ไม่มีการยืนยันว่า กลอนบทนี้ นายสมัคร สุนทรเวช แต่งกลอนนี้ก่อนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งขั้วตับแล้วยัดใส่มือภรรยาจริงหรือไม่เช่นกัน

เป็นที่รู้กันว่า นายสมัคร สุนทรเวช คือ ฝ่ายรอยัลลิสต์คนสำคัญช่วง ตุลาคม 2519 โดยเป็นถึง ผู้ถ่ายทอดพระราชประสงค์ของพระราชินี  เขาเสียชีวิต เมื่อวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ( ระยะเวลาเพียง 1 ปีเศษหลังจากเขาถูกศาลตัดสินให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี )


การเมืองไทย101 : 2494 กบฎแมนฮัตตัน บุกจับตัว นายกรัฐมนตรี

กบฏแมนฮัตตัน 

กบฎแมนฮัตตัน  ชื่อเรียกเหตุการณ์การก่อการกบฏในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เมื่อทหารเรือกลุ่มหนึ่ง เรียกตัวเองว่า "คณะกู้ชาติ" นำโดย น.ต.มนัส จารุภา ร.น.ผู้บังคับการเรือหลวงรัตนโกสินทร์ พลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ นายทหารนอกราชการ อดีตผู้บังคับการกรมนาวิกโยธิน ทำการก่อกบฏจี้ตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ระหว่างเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือขุดสันดอนสัญชาติอเมริกัน ชื่อ "แมนฮัตตัน" ที่ท่าเรือ ราชวรดิฐ โดยนำไปกักขังไว้ในเรือรบหลวงชื่อ "ศรีอยุธยา" ที่จอดรออยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา

เชื่อกันว่า กบฎนี้ น่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากปรีดี พนมยงค์ เนื่องจาก เพิ่งก่อกบฎวังหลวง ที่เป็นทหารเรือที่ก่อกบฎเช่นกัน แต่ทหารอย่าง น.ต. มนัส จารุภา ก็ยืนยันว่า การก่อกบฎครั้งนี้ ไม่มีใครสนับสนุน

ซึ่งก่อนหน้านี้ คณะผู้ก่อการกบฎ คิดจะก่อการในลักษณะเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่สบจังหวะที่เหมาะสม จึงได้แต่เลื่อนออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลาลงมือจริง หลายฝ่ายที่ถูกชักชวนให้ลงมือก็คาดว่าจะต้องมีการเลื่อนอีกแน่นอน จึงมิได้ปฏิบัติการตามแผนที่วางไว้

เหตุที่เลือกเอาวันนี้เป็นวันลงมือ เพราะก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวัน มีการปล่อยกำลังทหารกองหนุนกลับสู่ภูมิภาค ทำให้จำนวนทหารในพระนครเหลือน้อย อีกทั้งพื้นที่บริเวณนี้ก็เป็นเขตของทหารเรือด้วย จึงลงมือได้ง่ายกว่า

เวลาลงมือ
เวลา 15.00 น. 29 มิถุนายน พ.ศ.2494 จอมพลป. พิบูลสงคราม มาเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือแมนฮัตตันที่ท่าราชวรดิฐ โดยผู้แทนฝ่ายอเมริกันได้พูดกล่าวมอบ เสร็จแล้วจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีกล่าวตอบทางเรือลดธงชาติอเมริกันลงจากเสา และชักธงชาติไทยขึ้น จากนั้นได้มีการเชิญนายกรัฐมนตรีก็ขึ้นไปชมเรือ แผนการจึงเริ่มต้นขึ้น



น.ต.มนัส จารุภา ผู้ก่อการได้ออกคำสั่ง “หมู่รบตามข้าพเจ้าวิ่ง” นำทหารเรือวิ่งไปปิดสะพานบันไดขึ้นเรือห้ามมิให้ผู้ใดผ่าน ถ้าฝ่าฝืนจะยิงทันที น.ต.มนัสเข้าจี้ตัวจอมพลป.พิบูลสงคราม พร้อมประกาศว่า “เราต้องการแต่ตัวท่านจอมพล คนอื่นไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป ขอเชิญท่านจอมพลทางนี้” จากนั้นได้พาตัวจอมพลป.พิบูลสงคราม ลงเรือที่เตรียมไว้แล้วพาตัวไปคุมขังที่เรือหลวงศรีอยุธยา




ในเหตุการณ์กบฏ หัวหน้าคณะก่อการ คือ น.อ.อานนท์ ปุณฑริกาภา ร.น. สั่งการให้ทหารเรือกลุ่มที่สนับสนุนการก่อการมุ่งหน้าและตรึงกำลังไว้ที่พระนคร และประกาศตั้ง พระยาสารสาสน์ประพันธ์ (ชื้น จารุวัสตร์) ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม กระจายเสียงในฐานะนายกรัฐมนตรีจากในเรือ แต่ทางฝ่ายรัฐบาลไม่ยอม ได้กระจายเสียงตอบโต้ไปโดยใช้วิทยุของกรมการรักษาดินแดน (ร.ด.) โดยได้ให้ นายวรการบัญชา (บุญเกิด สุตันตานนท์) ประธานสภาผู้แทนราษฎร รักษาการนายกรัฐมนตรีแทน และตั้งกองบัญชาการขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล (ในขณะนั้นตั้งอยู่ที่  พระที่นั่งอนันตสมาคม ในปัจจุบัน) จึงเกิดการต่อสู้ยิงกันอย่างหนักระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลและทหารฝ่ายก่อการกบฎ

ซึ่งตามแผนการของผู้ก่อการแล้ว ฝ่ายก่อการกบฎ จะต้องยึดโรงไฟฟ้าและสถานีโทรศัพท์กลาง ที่หน้าวัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) ให้ได้ โดยเรือรบหลวงศรีอยุธยาจะต้องแล่นผ่านสะพานพระพุทธยอดฟ้า ซึ่งเปิดรอ เพื่อไปตั้งกองบัญชาการที่ฝั่งพระนคร และมีกำลังทหารจากต่างจังหวัดยกเข้ามาสมทบทั้งทหารเรือและทหารบก แต่เมื่อลงมือจริง ๆ แล้วกลับไม่เป็นไปตามนั้น

แต่ สะพานพระพุทธยอดฟ้า กลับไม่เปิด และในที่สุดเครื่องยนต์เรือก็เสียจากการถูกโจมตีหนัก โดยในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ใช้อำนาจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้ใช้กำลังทหารเพื่อปราบจลาจลครั้งนี้

วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เวลา 10.00 น. มีพระบรมราชโองการประกาศกฎอัยการศึกในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี โดยผ่านพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร นับว่าเป็นการใช้กฎอัยการศึกครั้งแรกในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมี นายวรการบัญชา รักษาการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

ในส่วนของกองบัญชาการฝ่ายรัฐบาลที่ตั้งขึ้น ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ฝ่ายกองทัพเรือ โดย พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ส่งผู้แทนหลายคนเข้าพบนายทหารบกชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชการระดับสูงของทางรัฐบาล เพื่อยืนยันว่า กรณีนี้ทางฝ่ายทหารเรือส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย เป็นเพียงการกระทำการของนายทหารชั้นผู้น้อยไม่กี่นายเท่านั้น เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดกันระหว่างกองทัพ

แต่กระนั้น ทาง พล.อ.ผิน ชุณหะวัณ ผู้บัญชาการทหารบก รวมถึง พล.ท.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 1 ยืนยันว่า การกระทำเช่นนี้นับว่าอุกอาจมาก เพราะเป็นการกระทำต่อหน้าทูตต่างชาติหลายประเทศ รวมทั้งจะให้ทางฝ่ายทหารเรือแอบขึ้นเรือรบหลวงศรีอยุธยาในยามวิกาลเพื่อบุกชิงตัวจอมพล ป. กลับคืนมาให้ได้ภายในเวลา 05.00 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 ไม่เช่นนั้นจะยิงทุกจุดที่มีทหารเรืออยู่ เพราะถือว่าเป็นการถ่วงเวลาเพื่อรอกำลังฝ่ายกบฏมาสมทบ แต่ทางฝ่ายทหารเรือไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น โดยให้เหตุผลว่าหากทำเช่นนั้น เกรงว่าจอมพล ป. จะได้รับอันตรายได้

การสู้รบเกิดขึ้นเมื่อเวลา 04.30 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เริ่มจากฝ่ายรัฐบาล โดยกองทัพบกภายใต้การนำของ พลโท สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กองทัพอากาศภายใต้การบัญชาของพลอากาศเอก ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี และกำลังตำรวจโดยพลตำรวจโท เผ่า ศรียานนท์ การสู้รบแพร่ขยายไปวงกว้าง ทหารบกเริ่มโจมตีจากด้านพระนคร กองทัพอากาศเริ่มทิ้งระเบิดที่กรมอู่ทหารเรือ และตำแหน่งคลังเชื้อเพลิง

เรือจม
ในที่สุดมีการทิ้งระเบิดขนาด 50 กก. จากเครื่องบินแบบ Spitfire และ T6 ใส่เรือรบหลวงศรีอยุธยาที่อยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ลูกระเบิดดังกล่าวทะลุดาดฟ้าลงไประเบิดในคลังกระสุนใต้ท้องเรือ

ความจริงแล้ว ลูกระเบิดขนาด 50 กิโลกรัมนั้น ไม่สามารถจมเรือขนาด 2,000 ตันลงได้ เพราะถ้าเป็นระเบิดปกติ ระเบิดจะไปกระทบดาดฟ้าทำให้ระเบิดที่ดาดฟ้าเรือและเกิดเพลิงไหม้เพียงดาดฟ้าเรือเท่าน้้น แต่เมื่อระเบิดด้าน ทำให้มันทะลุหลังคาดาดฟ้าลงไประเบิดที่ด้านล่างแทน ที่มีกระสุนของเรือเก็บไว้ที่นั่น ทำให้ระเบิดกันใหญ่ และทำให้เรือรบศรีอยุธยาทะลุ และจมลงน้ำในที่สุด

จึงจนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เรือก็จม และในเวลา 17.00 เรือหลวงคำรณสินธุ์ ซึ่งทำหน้าที่คุ้มครองคลังน้ำมันอยู่ที่บริเวณกรมอู่ทหารเรืออับปางลงอีกลำหนึ่ง

ส่วนกรมอู่ทหารเรือไฟไหม้เสียหายทั้งหมด จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกทหารเรือที่อยู่บนเรือสวมเสื้อชูชีพนำว่ายน้ำหลบหนีออกมาได้ ที่สุดทั้งฝ่ายกบฏและรัฐบาลเปิดการเจรจากัน ฝ่ายกบฏได้ปล่อยตัวจอมพล ป. ให้กับฝ่ายรัฐบาล โดยผ่านทางทหารเรือด้วยกัน ซึ่ง พล.ร.อ.สินธุ์ ก็ได้นำตัวคืนสู่วังปารุสกวัน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันนั้น

ต่อมาในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 22 และกระทรวงกลาโหมได้มีประกาศและคำสั่ง ให้
หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) ผู้บัญชาการทหารเรือ
พลเรือโท หลวงเจริญราชนาวา (เจริญ ทุมมานนท์) รองผู้บัญชาการทหารเรือ
พลเรือโท ผัน นาวาวิจิต ผู้บัญชาการกองเรือรบ
พลเรือตรี ชลิต กุลกำม์ธร รองผู้บัญชาการกองเรือรบ
พลเรือตรี กนก นพคุณ ผู้บังคับการมณฑลทหารเรือที่ 1
พลเรือตรี ประวิศ ศรีพิพัฒน์ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ
พลเรือตรี ดัด บุนนาค เจ้ากรมสรรพาวุธทหารเรือ
พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์ รองเสนาธิการทหารเรือฝ่ายยุทธการ
พลเรือตรี ชลี สินธุโสภณ ผู้บังคับการกองสัญญาณทหารเรือ
และ พลเรือตรี สงวน รุจิราภา นายแพทย์ใหญ่ทหารเรือ ถูกพักราชการและปลดออกจากตำแหน่ง

และในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบกองทัพเรือในกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2494 ต่อมาในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2494 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกเลิกกฎอัยการศึกในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี ในวันที่ โดยผ่านพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร และในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 คณะบริหารประเทศชั่วคราวก่อ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2494 และได้แต่งตั้ง พลตำรวจโท เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เป็นผู้รักษาความสงบทั่วราชอาณาจักรเป็นอันสิ้นสุดเหตุการณ์

ส่วนที่เหลือ
ในส่วนของผู้ก่อการได้ถูกบีบบังคับให้ขึ้นรถไฟไปทางภาคเหนือ จากนั้นจึงแยกย้ายกันหลบหนีข้ามพรมแดนไปพม่าและสิงคโปร์ ในส่วนของ น.ต.มนัส จารุภา ร.น. ผู้ทำการจี้จอมพล ป. ได้หลบหนีไปพม่าได้สำเร็จ แต่ถูกจับกุมได้หลังจากลักลอบกลับเข้าประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2495

โดยการกบฏครั้งนี้นับว่าเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เพราะสถานที่ต่าง ๆ เสียหาย และมีผู้บาดเจ็บล้มตายนับร้อยทั้งทหารของทั้ง 2 ฝ่าย รวมถึงประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เฉพาะผู้เสียชีวิตมีจำนวนประมาณ 187 ราย แบ่งเป็นประชาชน 118 ราย ทหารเรือ 43 ราย ทหารบก 17 ราย และ ตำรวจ 9 ราย นับเป็นเหตุการณ์สงครามกลางเมืองที่คนไทยฆ่าคนไทยมากที่สุดจวบจนปัจจุบัน

การจับกุมกบฎ
การดำเนินคดีมีการจับกุมผู้ต้องหาร่วม 1,000 คน ซึ่งควบคุมตัวไว้ที่สนามกีฬาแห่งชาติ เนื่องจากมีจำนวนมาก ในที่สุดก็ต้องปล่อยตัวเพราะหาหลักฐานไม่เพียงพอจนเหลือฟ้องศาลประมาณ 100 คน ภายหลังนักโทษคดีนี้ส่วนใหญ่ได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2500 เนื่องในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ ในส่วนของกองทัพเรือ แม้ทหารที่ก่อการกบฎจะไม่ใช่ทหารระดับสูงและทหารเรือส่วนใหญ่ก็ไม่เกี่ยวข้องด้วย กระนั้น พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ และนายทหารเรือระดับสูงหลายคน ก็ยังต้องโทษตัดสินจำคุกนานถึง 3 ปี โดยที่ไม่มีความผิด และได้มีการปรับลดอัตรากำลังพลของกองทัพเรือลงไปมาก เพราะถือเป็นความพยายามก่อรัฐประหารเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันของทหารเรือ ต่อจากกบฏวังหลวง ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นเพียง 2 ปี








สัมปทาน หรือสัมปเวสีจะทาน : คดีพิศดาร ยื่นซองไม่ทัน แต่ชนะการประมูลที่สนามบินอู่ตะเภา

คดีพิศดาร ยื่นไม่ทัน แต่ชนะประมูล


โครงการพัฒนาสนามบิน อู่ตะเภามูลค่า 2.9 แสนล้านบาท
สาระสำคัญ คือ การพัฒนา สนามบินอู่ตะเภา ให้เป็นเมืองการบิน เพื่อรองรับ การขยายตัวของ EEC ในอนาคต ซึ่งก่อนหน้านี้ ซีพี ได้ลงนามโครงการ”รถไฟความเร็วสูง” ไปแล้ว ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมมูลค่า 2 แสน9 หมื่นล้านบาท โดยโครงการนี้จะเป็นการสร้าง Terminal 3 ศูนย์ธุรกิจการค้า การขนส่ง การซ่อมบำรุงเครื่องบิน และฝึกอบรมบุคคลากร และ Free Trade Zone


21
มีนาคม 2562
คณะกรรมการคัดเลือกเปิดให้เอกชนที่สนใจ ยื่นซองประมูล ที่กองบัญชาการทหารเรือ โดยมีเอกชน 3 รายเข้าร่วมประมูลดังนี้

กลุ่ม ธนโฮลดิ้ง คือ บริษัทในเครือซีพี รวมกับพันธมิตร อิตาเลียนไทย ดีเวปล้อปเม้นท์ ช. การช่าง บีกริม จอยน์เวนเจอร์ โอเรียนท์ ซัคเซส อินเตอร์เนชั่นแนล

อีก2 กลุ่มคือ บีบีเอส มี การบินกรุงเทพ ของ นายแพทย์ ปราเสริฐ ประสาททองโอสถ
และ กลุ่ม BTS (คีรี กาญจนพาสน์) และ ซิโนไทย (เจ้าของคือ ชวรัตน์ ชาญวีระกุล บิดาของ อนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในขณะนั้น) และ แกรนด์ คอนซอร์เทียม (พร้อพเพอร์ตี้เฟอร์เฟค คริสเตียนแอนด์นีลเส้น ไทยแอร์เอเชีย)

เหตุการณ์วันนั้น
วันนั้น กลุ่มธนโฮลดิ้ง ไปถึงก่อน และลงทะเบียนเวลา 12.20 . แต่เอกสารยังไม่ครบ นำมาเพียง 9 กล่อง จากทั้งหมด 11 กล่อง ต่อมา บีทีเอส มาถึงเวลา 12.59 . ยื่นเอกสารทั้งหมดในเวลา 14.21 . และกลุ่มแกรนด์คอนซอร์เทียม มาถึงเวลา 13.19 . ยื่นเอกสารทั้งหมดในเวลา 14.10 .

ประเด็นคือ กลุ่ม ธนโฮลดิ้ง ยื่นเอกสารเพียงแค่บางส่วนในเวลา 15.09 . ล่าช้ากว่ากำหนดปิดการยื่นซองประมูลใน เวลา 15.00 . ทำให้คณะกรรมการไม่รับพิจารณาเอกสารดังกล่าว นำไปสู่การฟ้องศาลปกครองสูงสุด

15
ตุลาคม 2562 คณะกรรมการคัดเลือกโครงการพัฒนาสนานบิน อู่ตะเภา และเมืองการบิน ให้กลุ่ม บีบีเอส ประกอบไปด้วย บางกอกแอร์เวย์ บีทีเอส และ ซิโนไทย เอ็นจิเนียริ่ง ชนะการประมูล

18.
ตุลาคม 2562 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของคณะกรรมการคัดเลือกของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ในส่วนที่ปฏิเสธไม่รับข้อเสนอ ซองที่ 2 ข้อเสนอด้านเทคนิคและแผนธุรกิจ และซองข้อเสนอด้านราคา ของกลุ่มกิจการค้าร่วมบริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา

7
พฤศจิกายน 2562 กลุ่ม ซีพี ฟ้องคณะกรรมการคัดเลือก กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณี มีมติไม่รับซองข้อเสนอ 2 กล่อง โดยอ้างว่า ยื่นหลังเวลา 15.00 ไป 9 นาที

10
มกราคม 2563 ศาลปกครองสูงสุด ใช้เวลาพิจารณาคดี 1 ชั่วโมง มีคำสั่งพิพากษา เพิกถอน มติคณะกรรมการคัดเลือกโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ที่ไม่รับซองข้อเสนอ ทางเทคนิค และข้อเสนอด้านราคา ของบริษัท ธนโฮลดิ้ง

โดยพิจารณา ข้อกำหนดเกี่ยวกับการยื่อนเอกสารคัดเลือก ตาม
ข้อ 31 (1) ที่กำหนดวันเวลาในการรับและปิดรับซองข้อเสนอ
ข้อ 31(3) กำหนดว่าจะไม่รับซองเอกสาร หลากยื่นภายหลังเวลาที่กำหนด ในข้อที่ระบุไว้ในข้อ 31 (1)

โดยศาลอ้างว่า แม้กำหนดต่างๆ ในเอกสารคัดเลือกเอกชน จะเป็นหลักเกณฑ์สำคัญ แต่ข้อเสนออื่นๆ ก็กำหนดไว้เช่นกัน และทั้ง 5 ก็แจ้งความประสงค์จะเข้าร่วมยื่นข้อเสนอ โดยมีการนำเสนอกล่องมาบรรจุข้อเสนอ 8 กล่องไว้แล้ว ก่อนเวลาด้วย แต่ กล่องที่ 6 ของซองที่ 2 และกล่องที่ 9 ของซองที่ 3 มีการขนผ่านจุดลงทะเบียนภายหลังเวลา 15.00 . เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีไม่รับซองข้อเสนอดังกล่าว

ศาลพิจารณาว่า กระบวนการพิจารณา เริ่มขึ้นเวลา 15.00 -18.00 . โดยเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดี ได้ปฎิบัติเช่นเดียวกันแก่ผู้ยื่นข้อเสนอทุกราย และตามเอกสารหลักฐานดังกล่าว ก็กำหนดให้ลง “ เวลาที่มายื่น ลงทะเบียน: ในเวลา 12.20 .


20
มกราคม 2563 ในที่สุด กลุ่ม BBS ก็คว้าชัยชนะในการประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน ตะวันออก มูลค่า 2.9 แสนล้านบาท ด้วยการเสนอให้ผลตอบแทนรัฐ 50 ปีสูงสุด 3.01 แสนล้านบาท ขณะที่กลุ่มธนโฮลดิ้งเสนอเพียง 1 แสนล้านบาท

19
มิถุนายน 2563 จนในที่สุด ก็มีการเซ็นสัญญาในวันดังกล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2565

สัมปทาน หรือสัมปเวสีจะทาน : รถไฟฟ้า สายสีเขียว หรือ สาย BTS

รถไฟฟ้า กรุงเทพ 

จำลอง ศรีเมือง 
ถือเป็นจุดเริ่มต้นแนวคิดจาก พลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่เป็นผู้ว่า กรุงเทพมหานคร  ครั้งแรก กลุ่มธนายง ของคีรีกาญจนพาสน์ ชนะการประมูลได้สัมปทานสร้างและจัดการเดินรถไฟฟ้า 30 ปี เริ่มต้นในปี 2542 -2572

ดังนั้น กลุ่มธนายงจึงก่อตั้งบริษัทย่อยในชื่อบริษัท ขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (BTSC) เพื่อเซ็นสัญญากับกทม.ในวันที่ 9 เมษายน 2535 สัญญานี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท (หมอชิต-อ่อนนุช) และสีลม (สนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน) รวม 23.5 กิโลเมตร  แม้จะเป็นเงินลงทุนทั้งหมดของ ธนายง แต่ กทม ต้องจัดหาที่ดิน และ ยกเว้นภาษีเงินได้ ให้ BTSC เป็นระยะเวลา 8 ปี 

และสร้างเสร็จ และเริ่มเดินรถครั้งแรกในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 ซึ่งถือว่า เป็นการนับเวลาเริ่มต้นสัมปทาน นั้นคืออายุสัมปทานจะไปสิ้นสุดในปี พ.ศ.2572 

อภิรักษ์ โกษะโยธิน 
เมื่อมีการเปลี่ยนผู้ว่า กรุงเทพเป็น อภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์  ก็เริ่มมีแนวคิดสร้างส่วนต่อขยาย ระยะทาง  2.2 กิโลเมตรระหว่าง สถานีตากสิน - วงเวียนใหญ่  โดยความจริงแล้ว แนวคิดนี้ เริ่มตั้งแต่ ยุคสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่า กทม เป็นคนต้นคิด แต่เนื่องจากระยะทางที่สั้นเกินไปทำให้ถูกพิจารณาว่า มันไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

แต่แล้ว ในปี 2548 โดยผู้ว่า อภิรักษ์ โกษะโยธิน ก็ตัดสินให้  กทม  ลงทุนสร้างส่วนต่อขยายเองทั้งหมด และจ้าง บริษัท วิสาหกิจของกทม เอง คือ บริษัท กรุงเทพธนาคม เป็นผู้จัดหารถมาวิ่ง  นั่นคือ ไปจ้าง บริษัทลูกของธนายง ที่ชื่อ BTSC อีกทอดหนึ่ง 

สรุปง่ายๆ คือ กทม สร้างส่วนขยาย แต่จ้าง BTSC วิ่งและเก็บเงิน นั่นคือ ซึ่งรายได้ ส่วนของ ตากสิน- วงเวียนใหญ่ ที่เปิดใช้ในปี 2552 และ ส่วนต่อ แบริ่ง สมุทรปราการ ที่เปิดในปี 2554 จะเข้ากระเป๋า กทม. โดยตรงทั้งหมด 

สุขุมพันธ์ บริพัตร
ในปี 2555 ผู้ว่า มรว. สุขุมพันธ์ บริพัตร มีการเซ็นสัญญาใหม่ โดยให้ BTSC จะได้สิทธิการเดินรถและซ่อมบำรุงต่อไป 30 ปี ครอบคลุมเส้นทางเดิมคือ 23.5 กิโลเมตร และส่วนต่อขยายทั้งหมด  นั่นคือ บริษัท BTSC  จะเป็นผู้ดูแลรถไฟฟ้าบีทีเอส ไปจนถึงปี 2585  ถึงตอนนี้ สัมปทาน จะมีอายุถึง 43 ปีเข้าไปแล้ว

ยุคนั้น มีเสียงครหาว่า  สัมปทานเดิมจะหมดในปี 2572 เหลือระยะเวลาอีกตั้งหลายปี แต่ กทม. โดยผู้ว่า สุขุมพันธ์ บริพัตร กลับรีบต่อสัญญาสัมปทานต่อไปอีกตั้ง 30 ปี  กลายเป็นหมดในปี 2585 คดีนี้ค้างคาอยู่ใน ปปช. ยังไม่มีการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี ยังเกิดปัญหาขึ้นอีก เมื่อ ส่วนการขยาย (ถึงตอนนี้ ในเขต กทม. เริ่มมีรถไฟฟ้าหลายสาย เราจึงเรียกรถไฟฟ้าสายนี้ว่า สายสีเขียว) ก็เพิ่มส่วนต่อขยายไปด้านเหนือ คือ หมอชิต-สะพานใหม่ คูคต และ ด้านใต้ คือ แบริ่ง สมุทรปราการถูกต่อยาวออกไปอีก  ซึ่งรถไฟฟ้าที่ขยายครั้งสุดท้าย มันเลยเขตดูแลและอำนาจของ กทม. ไปแล้ว ทำให้รัฐบาลของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีมติ ให้ การรถไฟฟ้า ขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. เป็นผู้ก่อสร้างแทน 

แต่แล้วในปี 2559 รัฐบาลประยุทธ ที่ทำรัฐประหารเข้ามา ก็ตัดสินใจดึงงานท้้งหมด กลับมาอยู่ในมือของ กทม. อีกครั้ง ดังนั้น กทม จึงต้องรับโอนหนี้ทั้งหมดที่เป็นค่าก่อสร้างราว 6 หมื่นล้านบาท จาก รฟม. เกิดเป็นเสียงอื้ออึง ว่า ทำไมต้องเอาเงินคน กทม ไปอุ้ม คนจังหวัดอื่น 

ขยายอีกครั้ง
โดยสรุป คือ ระยะทางทั้งหมด ของสายสีเขียวยาวถึง 66.4 กิโลเมตร จากเดิมที่มีระยะทางแค่ 23.5 กิโลเมตร  ปัจจุบันมีการยื่นเรื่องเข้ามาขอขยายระยะเวลาออกไปอีกถึงปี พ.ศ. 2602 (เน้นอีกครั้งว่า ปี 2602) ดังนั้นนับจากเริ่มต้นในปี 2542 ระยะเวลาสัมปทานจะยาวนานถึง 60 ปี เต็มเลยทีเดียว 

แต่เนื่องจาก ปัญหายืดเยื้อ ระหว่างหนี้ที่ทางกทม กับ รฟม เกี่ยงกันจ่ายอยู่ ทาง BTS จะรับผิดชอบหนี้และทรัพย์สินทั้งหมด แต่รายได้ทั้งหมดทั้งส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 รายได้ทั้งหมดจะเป็นของ BTS แต่เพียงผู้เดียว โดยมีสิทธิปรับค่าโดยสารทุกๆ 2 ปี 

บทสรุป 
นี่เป็นอีกเคสหนึ่ง ที่เห็นว่า การไปยุ่งกับ สัญญาเก่านั้น รัฐมีโอกาสแพ้สูงมาก และเสียเปรียบเสมอ ทำให้ ประชาชนยากจนลงไปอีกตลอด 


ค่าโง่สัมปทาน สัญญาทาส : ดอนเมืองโทลเวย์

ค่าโง่ดอนเมืองโทลเวย์

ทางยกระดับอุตราภิมุข หรือ ชื่อเล่น คือ ดอนเมืองโทลเวย์ โดยวัตถุประสงค์หลักคือ การระบายการจราจร ระหว่างรังสิต และถนนพหลโยธิน โดยในตอนแรกมีแนวคิดที่จะแค่ขยายถนนเท่านั้น 

เรียงตาม TimeLine ดังนี้

1. ยุค นายกรัฐมนตรี ชาติชาย ชุณหวัณ
จุดเริ่มต้น คือ รัฐบาล ชาติชาติ ชุณหวัณ โดย มี นาย มนตรี พงษ์พานิช เป็น รัฐมนตรีคมนาคม เป็นผู้ลงนามเซ็นสัญญา กำหนดให้ ตอนเริ่มต้น คือ ให้เอกชนสร้าง และ ให้เอกชนเป็นผู้เก็บเงินทั้งหมด โดยเริ่มต้นสัญญาในปี 2532 อายุสัมปทานเพียง 25 ปี ดังนั้นจะไปสิ้นสุดในปี 2557

สัญญาเริ่มต้น เพียง ระยะทาง 15.4 กิโลเมตร  เริ่มต้นจุดเริ่มต้นจาก ดินแดงไปสิ้นสุดที่ ดอนเมือง
ค่าผ่านทาง กำหนดไว้แค่ 2 ช่วงคือ
ช่วงแรก (ปี 2534–2541) ระหว่าง 20–30 บาท
ช่วงที่ 2 (ปี 2541–2547) ในอัตรา 30–40 บาท

ประเด็นสำคัญคือ ในสัญญาระบุว่า หากรัฐบาลกระทำใดๆ อันทำให้ จำนวนยวดยานพาหนะลดลง แล้ว จะต้องชดเชยให้ด้วยการให้เพิ่มค่าธรรมเนียม หรือ ขยายอายุสัมปทาน ได้ 

ผู้ประมูลได้ คือ  บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด

2. รัฐบาลอานันท์ ปัญญารชุน
แต่แล้ว ในปี 2535  รัฐบาลอานันท์ปัญญารชุน อนุมัติให้สร้างส่วนต่อขยายระยะทางจากดอนเมืองไปถึง อนุสรณ์สถาน

แลกกับการที่  รัฐบาลไทย ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ ทางเชื่อมยกระดับ หรือ Loop Ramp คือ บริเวณหลักสี่ และบางเขนได้ทัน

3. ชวน หลีกภัย 
ปี 2539 บริษัทอ้างข้อหาเดิม คือ รัฐบาลส่งมอบพื้นที่ให้ไม่ได้ จึงขอแก้ไขสัญญาอีกครั้ง แต่ช่วงนั้น อยู่ระหว่างเจรจากันเท่านั้น

4. บรรหาร ศิลปอาชา
ต่อมารัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา ที่มี นาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้แก้ไขสัญญาลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 ให้เอกชนลงทุนขยายเส้นทางไปถึง หน้ากองทัพอากาศ  และยกเชื่อมต่อกับสนามบินดอนเมือง  ประเด็นนี้ ทำให้ต้องต่ออายุสัมปทานเพิ่มไปอีก 7 ปี จากเดิมที่ปี พ.ศ. 2557 กลับไปสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2564  แทน และยังปรับเพดานสูงสุดเดิมที่กำหนดไว้แค่ 30 บาท กลายเป็น 80 บาท และช่วงอนุสรณ์สถานเป็นราคา 15-35 บาท เท่ากับว่า ตอนนี้ อายุสัมปทานขยายไปเป็น 32 ปีแล้ว

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเป็นคนจัดหาเงินกู้ ให้บริษัทอีกจำนวน 8,500 ล้านบาท และบริษัทต้องเพิ่มทุนอีก 4,522 ล้านบาท โดยให้รัฐบาลซื้อหุ้นเพิ่มทุน 3,000 ล้านบาท และหากบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว รัฐบาลต้องขายหุ้นคืนให้ถือครองได้ไมเ่กิน 25 เปอร์เซนต์อีกด้วย

กรณีนี้ มีการแก้ไขสัญญา เนื่องจาก มีการอ้างว่า รัฐบาลส่งมอบพื้นที่ให้ไม่ทันภายในเดือนธันวาคม 2538 เนื่องจาก มีการลงนามขยายระยะทางจากดอนเมืองไปถึงอนุสรณ์สถาน

5. ชวน หลักภัย 2
ปี 2542 ปีนี้จะต้องมี การขึ้นค่าทางด่วนอีกครั้ง ทำให้ มีแก้สัญญาและเปลี่ยนวิธีเก็บเงินใหม่ มาเป็นแบบรวมเก็บเงินท้้งสองส่วน รวมเป็นเงินก้อนเดียว โดยรวมเก็บเงินเป็น 55 บาทแทน และปี 2547 จะต้องปรับเป็น 80 บาท 

6. ทักษิณ ชินวัตร
ในปี 2547 ที่จะต้องปรับค่าโดยสารขึ้นเป็น 80 บาท แต่รัฐบาลทักษิณ แทรกแซงราคาไม่อนุมัติให้ปรับราคาขึ้น และยังใช้อำนาจ ให้ปรับลดอีกด้วยซ้ำ ดังนี้

ปี 2548 ปรับลดราคาลงเหลือ 20 บาทตลอดสาย 
ปี 2549-2550 เก็บ 30 บาทตลอดสาย
ปี 2551-2552 เก็บ 35 บาทตลอดสาย

7. รัฐบาลรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ 
ต่อมารัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ทำรัฐประหารเข้ามา มี พล.ร.อ ธีระ ห้าวเจริญ  เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีมติ ขายหุ้น บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง ให้กับ บริษัท แบ็งค๊อกแอนด์ บราวน์ โทลโรดส์ โฮลดิ้ง ประเทศไทย ร้อยละ 12.28 ในราคาหุ้นละ 10 บาท 

ต่อมา บริษัทอ้างเรื่อง การทำผิดสัญญาในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร (ที่ปรับลดราคาลง) ทำให้วันที่ 12 กันยายน 2550 พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ เลือกต่ออายุสัมปทานไปอีก 13 ปี จากที่จะสิ้นสุดในปี 2564 กลายเป็นสิ้นสุดในปี 2577 รวมอายุสัมปทานยาวถึงนานถึง 45 ปี นอกจากนี้ ยังปรับราคากลับไปเป็นแบบเดิม คือ ดินแดง-ดอนเมืองคิด 20-80 บาท และ ดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน คิด 15-45 บาท โดยคราวนี้แก้ เป็นการปรับราคาไม่ต้องผ่านมติครม. อีกต่อไป 

หากยึดเอาสัญญาปัจจุบัน

เมื่อถึงวันที่ 22 ธ.ค.2572 จนสิ้นสุดอายุสัมปทาน จะปรับราคาขึ้นดังนี้

ช่วงดินแดง-ดอนเมือง รถ 4 ล้อ 100 บาท
ช่วงดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน รถ 4 ล้อ เป็น 45 บาท 

รวมระยะเวลาสัมปทาน ยาวนานถึง 45 ปี คือ ปี 2532-2577


การเมืองไทย101 : 2500 กับวาทะกรรม เลือกตั้งสกปรกที่สุด

2500 เลือกตั้งครั้งแรก

เริ่มต้น การเลือกตั้ง วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปี 2500  ครั้งนั้น จอมพล ป พิบูลสงคราม ในตอนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี ได้จัดเลือกตั้ง โดยอ้างเรื่อง 25  พุทธศตรวรรษ  อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งครั้งนี้ได้ชื่อว่า เป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุด

โดยผู้กล่าวหาครั้งนั้นว่า เลือกตั้งสกปรกที่สุด คือ พรรคประชาธิปัตย์ ที่จัดตั้งโดย ควง อภัยวงศ์ ซึ่งเป็นลุกชายของ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์)  ที่เป็นผู้สำเร็จราชการ จังหวัดพระตะบอง หรือผู้ดูแลเขมรในยุคนั้นนั่นเอง และ มรว. เสนีย์ ปราโมช ที่ได้ตั้งพรรคในวันจักรี คือ  6 เมษายน อีกด้วย เรียกว่าเป็นพรรคนิยมเจ้า หรืออนุรักษ์นิยมอย่างแท้จริง แต่ตั้งชื่อเป็น พรรคประชาธิปัตย์ 

การเลือกตั้งครั้งนั้น ตามที่ระบุในข่าว มีการใช้เวลานับคะแนนนานถึง 7 วัน 7 คืน มีการสับเปลี่ยนหีบเลือกตั้งอย่างโจ่งครึ่ม  อย่างไรก็ดี พรรคมนังคศิลา ของจอมพล ป พิบูลสงคราม นั้น ชนะการเลือกตั้ง  แต่ชาวบ้าน นิสิตนักศึกษา ต่างออกมาชุมนุมประท้วง

2500 รัฐประหาร  จนนำไปสู่การรัฐประหารในวันที่ 16 กันยายน 2500 โดย สดิษฎ์ ธนะรัชต์ ลูกน้องคนสนิทของ จอมพล ป พิบูลสงคราม โดยให้ พจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว

2500 เลือกตั้ง ต่อมา ปลายปีนั้น ก็มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ธันวาคม 2500 โดยคนที่ดูแล การเลือกตั้งทั้งหมด คือ พลเอกประภาส จารุเสถียร รัฐบาลทหารส่ง พรรคสหภูมิ ลงเลือกตั้ง แข่งกับ พรรคประชาธิปัตย์ โดยการเลือกตั้งครั้งนั้น ได้ จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี

2501 รัฐประหาร แต่แล้ว วันที่  20 ตุลาคม 2501  จอมพลถนอม กิตติขจร ควบคุม สส. ในสภาไว้ไม่ได้ ยื่นใบลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ จอมพลสดิษฐ์ ธนะรัชต์ ต้องรีบกลับจากการรักษาตัวที่ต่างประเทศ  ก็ทำรัฐประหารทันที พร้อมกับอ้างเรื่อง ความมั่นคงจากลัทธิคอมมิวนิสต์ ชาวบ้านต่างรู้กันดีกว่า นี่คือ การซูเอี๋ยกันครั้งใหญ่ ครั้งนั้น คณะรัฐประหารยังฉีกรัฐธรรมนูญปี 2475 ทั้งหมด และยังประกาศยุบพรรคการเมืองทั้งหมดอีกด้วย

2502 ร่างรัฐธรรมนูญ
หลังจากนั้น คณะรัฐประหาร ก็แต่งตั้ง  สภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี นายทวี บุญยเกตุ เป็นประธาน ขึ้นมา จนในปี 2502   สภาร่างก็สามารถออก รัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2502 ออกมาได้สำเร็จ 

แม้ว่าจะคลอดรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีการเลือกตั้งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปี 2502 มีเพียงแค่ 20 มาตราเท่านั้น  โดยมี มาตรา 17 ที่ให้อำนาจทุกอย่างกับ นายกรัฐมนตรี ทำให้ นายกรัฐมนตรี คือ จอมพลถนอม กิตติขจร นั้นมีอำนาจทำได้ทุกอย่างไม่ต้องรอมติจากสภา

2511 ประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2511
ณ ปี 2511 ประเทศไทยไม่มีการเลือกตั้งทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี 2500 รวม 12 ปีแล้ว แต่รัฐบาล ถนอม ยังคงอ้างการเขียนรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง โดยรอบนี้ยาวนาน 9 ปีเศษ เสร็จสิ้นในปี 2511 ในที่สุดประเทศไทยก็ถึงเวลาเลือกตั้งทั่วประเทศอีกครั้ง

แต่ครั้งนั้น จอมพลถนอม กิตติขจร ได้จดทะเบียนพรรค สหประชาไทย ขึ้น เพื่อลงสนามเลือกตั้ง ในปี 2512 ที่ว่างเว้นการเลือกตั้งยาวนานถึง 12 ปีเต็ม โดยเลือกตั้งในปี 2512  แน่อนนว่า พรรคสหประชาไทย ชนะเลือกตั้ง แน่นอนว่า พรรคอันดับ 2 อย่างประชาธิปัตย์ ก็ต้องไปเป็นฝ่ายค้าน

2514 รัฐประหารตัวเอง   
รัฐบาลอยู่มาได้ 2 ปี  หลังจากนั้น  จอมพลถนอม กิตติขจร ไม่สามารถควบคุม สส. ในสภาได้ ก็ประกาศ ยึดอำนาจตัวเอง โดยตัวเองตอนนั้น ยังนั่งตำแแหน่ง นายกรัฐมนตรี และประกาศว่า ตัวเองคือ หัวหน้าคณะปฎิวัติ  โดยกเลิก รัฐสภา และยกเลิก พรรคการเมืองอีกครั้ง

2515 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 
คราวนี้ มีการอ้างมาตรา 17 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี สามารถทำได้ทุกอย่าง กลับไปใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญเช่นเดิม  ประเด็นตอนนั้น คือ ประชาชนอยู่กับ มาตรา 17 มาตั้งแต่ปี 2502-2511 จนได้ยกเลิกมาตรา 17 มารอบหนึ่งแล้ว คราวนี้จะเอากลับมาใส่ใหม่อีกครั้ง  อีกประเด็นคือ  ขณะนั้น ทหารปกครองประเทศนี้มา-ยาวนาน 15 ปีแล้ว คือตั้งแต่ปี 2500 -2515 ประชาชนและนักศึกษาจึงรวมตัวกันประท้วง ขอร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง

2516  ทหารยิงประชาชน ทหารล้อมปราบนักศึกษา เหตุการณ์ครั้งนั้นจบด้วย  จอมพลถนอม กิตติขจร ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

2517 รัฐธรรมนูญใหม่  มรว คึกฤกษ์ ปราโมช เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง และ ได้ประกาศใช้ในปี 2517 จนประชาชน ได้เลือกตั้งใหม่ในปี 2518 การเลือกตั้งคร้้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายชนะ และได้นายกรัฐมนตรีคือ มรว เสนีย์ ปราโมช 

2519  รัฐประหาร เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519  เมื่อ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้เดินทางกลับประเทศไทย ทำให้ประชาชน นิสิตนักศึกษาต่างไม่พอใจ แต่ พลตำรวจโท ชุมพล โลหะชาละ ได้อนุญาติให้ยิงปืนได้โดยเสรี  ทำให้เกิดความวุ่นวาย

โดยดึกวันนั้น คณะปฎิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่นำโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ก็ได้ก่อรัฐประหาร คืนนั้นได้เข้าคุมตัว มรว เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นไว้ข้ามคืน จึงปล่อยตัวในวันรุ่งขึ้น  โดยครั้งแรก โดยให้ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี และมีการตั้ง สภาปฎิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่ทำหน้าที่เหมือน สส. จำนวน 340 คนขึ้น

2520  รัฐประหาร ซ้ำ
20 ตุลาคม 2520 ก็รัฐประหารซ้ำโดยคนเดิมเจ้าเก่า  พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ และเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีจาก พลเอก ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็น พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ อดีตผู้บังคับบัญชาสูงสุด 

ประเด็นสำคัญคือ มีการตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อให้มีการเลือกตั้ง ในปี 2522 

2521 รัฐธรรมนูญใหม่
มีการระบุในมาตรา 84 ให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง  สว.
มาตรา 106 ถือว่า สว. คือตัวแทนของประชาชนชาวไทย
มาตรา 113 (ระบุในส่วนของทั้ง สส และ สว) ให้ลงมติเกินกึ่งหนึ่ง 
นั่นคือ สว.,มีสิทธิโหวตเลือก นายกรัฐมนตรี

2522 เลือกตั้ง โดยมีกติกาคือ ในวันที่มีการเลือกตั้ง สส จะมีการแต่งตั้ง สว  และ สว. ในที่สุด เราก็ได้ อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นนายกรัฐมนตรี ชื่อ เปรม ติณสูรนนท์















วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2565

Data Analytic : จับผิดบัญชี สำหรับ การพนัน

 แรกคือ ตีความ ออกมา

บัญชีรับเงิน  บัญชีพักเงิน(เห็นไม่ชัด เดายากมาก) และ บัญชีจ่าย

บัญชีรับเงิน >> แยกจาก บัญชีร้านค้า  (ออกมาเป็นฟีเจอร์)
แกะออกมาได้เป็น

เวลาในการทำธุรกรรม  (ส่วนใหญ่เกิดขึ้นช่วงหัวค่ำ)                    ตั้งไว้ว่า กี่ครั้งต่อเดือน
บัญชียอดโอนเข้าซ้ำๆ  รวมไปถึง โอนออกซ้ำๆ                          ตั้งไว้ว่า ธุรกรรมขาเข้าสูง 
ร้านค้าจะโอนออกรอบน้อย ขณะที่ ร้านพนันจะจ่ายยิบย่อย)       โอนเงินช่วงไหน
ยอดคงเหลือ (ร้านค้ามักไม่ค่อยโยกย้าย  แต่ร้านพนันมักจะโยกย้าย)   
                                                                                        จำนวนบัญชีที่โอนเข้า  (โอนเข้ามากกว่าหนึ่งครั้ง)

ตอนนี้ จะมีประเด็นคือ ปลาติดแห กับ ปลาทีหลุดออกจากแห  ดังนั้นต้องทำวนๆ ไป เพื่อหาค่า Setting ให้ได้ค่าที่ดีที่สุด  และเอามา Validate จากคนจริงๆ ที่ตัดสินใจ (ตอนแรกไม่มี Label )

ตอนนี้เราจะมี Label แล้ว

การพนันบอล
การพนันจับบอลเราก็จะเริ่มต้นด้วย วันที่เตะบอล ลตารางแข่งขัน) เราก็จะรู้ว่า คนส่วนใหญ่จะเริ่มพนัน 15.00- ก่อนแข่ง 

เมื่อได้บัญชีมา เราก็เข้าตรวจกับ Feature ก่อนหน้านี้อีกรอบ

หวยใต้ดิน 
เรายึดเอา วันที่หวยออก  (โดยเฉพาะ วันที่เลื่อนหวยออก แล้ววันที่ธุรกรรมสูงๆ ดันเลื่อนตาม จะเห็นชัดอีก)