รถไฟฟ้า กรุงเทพ
จำลอง ศรีเมือง
ถือเป็นจุดเริ่มต้นแนวคิดจาก พลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่เป็นผู้ว่า กรุงเทพมหานคร ครั้งแรก กลุ่มธนายง ของคีรีกาญจนพาสน์ ชนะการประมูลได้สัมปทานสร้างและจัดการเดินรถไฟฟ้า 30 ปี เริ่มต้นในปี 2542 -2572
ดังนั้น กลุ่มธนายงจึงก่อตั้งบริษัทย่อยในชื่อบริษัท ขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (BTSC) เพื่อเซ็นสัญญากับกทม.ในวันที่ 9 เมษายน 2535 สัญญานี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท (หมอชิต-อ่อนนุช) และสีลม (สนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน) รวม 23.5 กิโลเมตร แม้จะเป็นเงินลงทุนทั้งหมดของ ธนายง แต่ กทม ต้องจัดหาที่ดิน และ ยกเว้นภาษีเงินได้ ให้ BTSC เป็นระยะเวลา 8 ปี
และสร้างเสร็จ และเริ่มเดินรถครั้งแรกในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 ซึ่งถือว่า เป็นการนับเวลาเริ่มต้นสัมปทาน นั้นคืออายุสัมปทานจะไปสิ้นสุดในปี พ.ศ.2572
อภิรักษ์ โกษะโยธิน
เมื่อมีการเปลี่ยนผู้ว่า กรุงเทพเป็น อภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์ ก็เริ่มมีแนวคิดสร้างส่วนต่อขยาย ระยะทาง 2.2 กิโลเมตรระหว่าง สถานีตากสิน - วงเวียนใหญ่ โดยความจริงแล้ว แนวคิดนี้ เริ่มตั้งแต่ ยุคสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่า กทม เป็นคนต้นคิด แต่เนื่องจากระยะทางที่สั้นเกินไปทำให้ถูกพิจารณาว่า มันไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
แต่แล้ว ในปี 2548 โดยผู้ว่า อภิรักษ์ โกษะโยธิน ก็ตัดสินให้ กทม ลงทุนสร้างส่วนต่อขยายเองทั้งหมด และจ้าง บริษัท วิสาหกิจของกทม เอง คือ บริษัท กรุงเทพธนาคม เป็นผู้จัดหารถมาวิ่ง นั่นคือ ไปจ้าง บริษัทลูกของธนายง ที่ชื่อ BTSC อีกทอดหนึ่ง
สรุปง่ายๆ คือ กทม สร้างส่วนขยาย แต่จ้าง BTSC วิ่งและเก็บเงิน นั่นคือ ซึ่งรายได้ ส่วนของ ตากสิน- วงเวียนใหญ่ ที่เปิดใช้ในปี 2552 และ ส่วนต่อ แบริ่ง สมุทรปราการ ที่เปิดในปี 2554 จะเข้ากระเป๋า กทม. โดยตรงทั้งหมด
สุขุมพันธ์ บริพัตร
ในปี 2555 ผู้ว่า มรว. สุขุมพันธ์ บริพัตร มีการเซ็นสัญญาใหม่ โดยให้ BTSC จะได้สิทธิการเดินรถและซ่อมบำรุงต่อไป 30 ปี ครอบคลุมเส้นทางเดิมคือ 23.5 กิโลเมตร และส่วนต่อขยายทั้งหมด นั่นคือ บริษัท BTSC จะเป็นผู้ดูแลรถไฟฟ้าบีทีเอส ไปจนถึงปี 2585 ถึงตอนนี้ สัมปทาน จะมีอายุถึง 43 ปีเข้าไปแล้ว
ยุคนั้น มีเสียงครหาว่า สัมปทานเดิมจะหมดในปี 2572 เหลือระยะเวลาอีกตั้งหลายปี แต่ กทม. โดยผู้ว่า สุขุมพันธ์ บริพัตร กลับรีบต่อสัญญาสัมปทานต่อไปอีกตั้ง 30 ปี กลายเป็นหมดในปี 2585 คดีนี้ค้างคาอยู่ใน ปปช. ยังไม่มีการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดี ยังเกิดปัญหาขึ้นอีก เมื่อ ส่วนการขยาย (ถึงตอนนี้ ในเขต กทม. เริ่มมีรถไฟฟ้าหลายสาย เราจึงเรียกรถไฟฟ้าสายนี้ว่า สายสีเขียว) ก็เพิ่มส่วนต่อขยายไปด้านเหนือ คือ หมอชิต-สะพานใหม่ คูคต และ ด้านใต้ คือ แบริ่ง สมุทรปราการถูกต่อยาวออกไปอีก ซึ่งรถไฟฟ้าที่ขยายครั้งสุดท้าย มันเลยเขตดูแลและอำนาจของ กทม. ไปแล้ว ทำให้รัฐบาลของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีมติ ให้ การรถไฟฟ้า ขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. เป็นผู้ก่อสร้างแทน
แต่แล้วในปี 2559 รัฐบาลประยุทธ ที่ทำรัฐประหารเข้ามา ก็ตัดสินใจดึงงานท้้งหมด กลับมาอยู่ในมือของ กทม. อีกครั้ง ดังนั้น กทม จึงต้องรับโอนหนี้ทั้งหมดที่เป็นค่าก่อสร้างราว 6 หมื่นล้านบาท จาก รฟม. เกิดเป็นเสียงอื้ออึง ว่า ทำไมต้องเอาเงินคน กทม ไปอุ้ม คนจังหวัดอื่น
ขยายอีกครั้ง
โดยสรุป คือ ระยะทางทั้งหมด ของสายสีเขียวยาวถึง 66.4 กิโลเมตร จากเดิมที่มีระยะทางแค่ 23.5 กิโลเมตร ปัจจุบันมีการยื่นเรื่องเข้ามาขอขยายระยะเวลาออกไปอีกถึงปี พ.ศ. 2602 (เน้นอีกครั้งว่า ปี 2602) ดังนั้นนับจากเริ่มต้นในปี 2542 ระยะเวลาสัมปทานจะยาวนานถึง 60 ปี เต็มเลยทีเดียว
แต่เนื่องจาก ปัญหายืดเยื้อ ระหว่างหนี้ที่ทางกทม กับ รฟม เกี่ยงกันจ่ายอยู่ ทาง BTS จะรับผิดชอบหนี้และทรัพย์สินทั้งหมด แต่รายได้ทั้งหมดทั้งส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 รายได้ทั้งหมดจะเป็นของ BTS แต่เพียงผู้เดียว โดยมีสิทธิปรับค่าโดยสารทุกๆ 2 ปี
บทสรุป
นี่เป็นอีกเคสหนึ่ง ที่เห็นว่า การไปยุ่งกับ สัญญาเก่านั้น รัฐมีโอกาสแพ้สูงมาก และเสียเปรียบเสมอ ทำให้ ประชาชนยากจนลงไปอีกตลอด
วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2565
สัมปทาน หรือสัมปเวสีจะทาน : รถไฟฟ้า สายสีเขียว หรือ สาย BTS
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น