Advertising

..

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Koolaudio : HTPC - ชิป DAC

Koolaudio : HTPC - ชิป DAC 

ชิปเซ็ต DAC มีหน้าที่แปลงสัญญาณ Digital ไปเป็นสัญญาณ Analog รวมถึงปรับปรุงคุณภาพของสัญญาณเสียง พบมากในอุปกรณ์เครื่องเสียง

นักเล่นเครื่อง DAC ระดับสูง ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่  เคสเครื่องต้องเป็นอลูมิเนียมที่สวยงาม และเพื่อป้องกันคลื่นรบกวน สายต่อออกต้องเป็น XLR  ขณะเดียวกัน นักเล่นหลายคนกลับให้ความสำคัญ กับชิปเซ็ต DAC มากกว่าส  แต่หลายคนมองว่า สิ่งรอบตัวชิปเซ็ตนั้นสำคัญและมีผลต่อเสียงมากกว่าชิปอีก ดังนั้น จะให้ความสำคัญกับชิปน้อยกว่า สิ่งที่อยู่รอบตัวมัน

แต่สิ่งที่บทความนี้จะพูดถึงคือ สเปคของชิปเซ็ต ที่อย่างน้อย ต้องเสียงรบกวนระดับไม่เกิน -120dB  (ซึ่งเป็นระดับที่หูคนจะไม่สามารถสังเกตได้แล้ว) และ นักเล่นมักจะให้ "ความเป็นอนาล็อก" และ เสียงที่อบอุ่นเป็นน้ำหนักสำคัญมากกว่า

ทำไมนักเล่นเครื่องเสียงบางคนให้ความสำคัญกับ DAC
เหตุผลเพราะ Digital นั้น มันจะไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่คลาดเคลื่อนจากต้นฉบับ นั่นคือ DAC เป็นจุดเริ่มต้นของความเพี้ยนของ Analog นั่นเอง เพราะจุดกำเนิดย่อมต้องการทั้ง ความแม่นยำ รายละเอียด มิติของเสียงต่างๆ ที่ต้องการให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้นั่นเอง ขณะที่ความผิดเพี้ยนและเสียงรบกวนต้องน้อยมากๆ เพื่อให้เสียงที่สะอาดและเป็นธรรมชาติที่สุด 

โดยส่วนใหญ่ในเครื่องเล่น DAC ส่วนใหญ่จะมีการต่อกับภาคขยายบางส่วนไว้ด้วย นั่นคือ สิ่งรอบตัวที่นักเล่นเครื่องเสียงก็ให้ความสนใจเช่นกัน โดยเฉพาะการออกแบบวงจรภาคขยาย

แต่ ชิปเซ็ต DAC ในทุกยี่ห้อ ทุกรุ่น มันจะมีจุดเด่น จุดด้อยต่างกันออกไป ดังนั้น มันค่อนข้างยากที่จะระบุลงไปว่า ชิปเซ็ต DAC ตัวไหนดีที่สุด เพราะมันขึ้นอยู่กับความชื่นชอบส่วนตัว และงบประมาณมากกว่า





 

 

 6. คุณสมบัติและประโยชน์ของชิปเซ็ต DAC ที่ดีที่สุด

ชิปเซ็ต DAC เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบเสียงคุณภาพสูง พวกเขามีหน้าที่ในการแปลงสัญญาณดิจิตอลให้เป็นสัญญาณอนาล็อก ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตเสียงที่มีความเที่ยงตรงสูง ในฐานะผู้ชื่นชอบเสียง สิ่งสำคัญคือต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับชิปเซ็ต DAC ประเภทต่างๆ ที่มีจำหน่าย รวมถึงคุณสมบัติและคุณประโยชน์ ของชิปเซ็ตเหล่า นั้น


1. ชิปเซ็ต DAC Burr-Brown

Burr-Brown เป็นแบรนด์ชิปเซ็ต DAC ยอดนิยมที่มีมานานกว่า 60 ปี เป็นที่รู้จักใน ด้านประสิทธิภาพเสียงคุณภาพสูงและระดับความผิดเพี้ยนต่ำ โดยทั่วไปแล้วชิปเซ็ต Burr-Brown DAC จะพบได้ในอุปกรณ์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ และผู้ที่ชื่นชอบเสียงออดิโอไฟล์ชื่นชอบในเรื่องคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม ข้อดีอย่างหนึ่งของชิปเซ็ต Burr-Brown DAC คือความสามารถในการจัดการไฟล์เสียงความละเอียดสูง ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตเสียงคุณภาพสูง


2. ชิปเซ็ต ESS Sabre DAC


ESS Saber เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ยอดนิยมของชิปเซ็ต DAC ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ชื่นชอบเสียงจำนวนมาก ชิปเซ็ต ESS Sabre DAC ขึ้นชื่อในด้านช่วงไดนามิกที่ยอดเยี่ยมและระดับเสียงรบกวนต่ำ นอกจากนี้ยังสามารถจัดการไฟล์เสียงที่มีความละเอียดสูงได้ และมักพบในอุปกรณ์เสียงระดับไฮเอนด์ ข้อดีอย่างหนึ่งของชิปเซ็ต ESS Sabre DAC คือความสามารถในการสร้างเสียงที่มีรายละเอียดสูงและแม่นยำ ซึ่งจำเป็นสำหรับนักออดิโอไฟล์ที่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด



DAC ชิปจะมีหลายยี่ห้อ ดังนี้

1. Asahi Kasei Micro devices (เป็นชิปสัญชาติ ญี่ปุ่น) ถือเป็นผู้ผลิตชิปเซ็ต DAC ระดับสูง โดยเฉพาะ AK4497EQ ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม ระดับความผิดเพี้ยนต่ำ และการรองรับรูปแบบเสียงที่มีความละเอียดสูง 

ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการเสียงแบบอบอุ่นเป็นธรรมชาติ มันมักจะอยู่ในเครื่องเสียงระดับกลางๆ ที่เป็นที่นิยม

AKM AK4499 เปิดตัวในปี 2019 ได้รับการยกย่องอย่างสูงในวงการ ความละเอียดระดับ 32Bit  768kHz  140dB SNR และ -124dB THD+N  (รุ่นเรือธงในปี 2020 มักถูกเทียบกับ ESS9038 และ ESS9068)
AKM AK4493EQ เปิดตัวในปี 2018 (มันถือเป็นตัว อัพเกรดของ AK4490EQ  (มันถูกนำไปเทียบกับ AK4497 อย่างเลี่ยงไม่ได้ ) แต่สเปคต่ำกว่า AK4497 โดยสเปคคือ  123dB SNR และ -113dB THD+N 
AKM AK4497 เปิดตัวในปี 2016  ราคาค่อนข้างแพง โดยได้สเปคถึง 32bit 768kHz และ 128 dB SNR และ -116 dB THD+N
AKM AK4490EQ เปิดตัวในปี 2014  ได้สเปคคือ 120dB SNR และ  -112dB THD+N  (ตัวนี้มักเป็นมาตรฐานสำหรับชิป DAC ของ Asahi Kasei
AKM AK4452
AKM AK4399


2. ESS Tech ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการ Performance และถือเป็นชิปเซ็ตระดับไฮเอ็นด์ โดยเฉพาะ ชิปซีรีย์ ESS sabre ที่ถือว่าเป็นระดับเรือธงทุกตัว

บริษัทแบ่งระดับ ชิป เป็นออกเป็น 
1. Sabre 2008
2. Sabre Hifi  2014 รหัสต่อท้ายจะเป็น Q2M ซึ่งเน้นใช้งานมือถือ ทำให้ มันเน้นไปที่การกินไฟที่น้อยเป็นหลัก
3. Sabre Pro 2019 จะถือว่า บริษัทต้องการสร้าง ชิป DAC ระดับ เรือธง เพื่อสร้างมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรม และถือว่า ในปีนั้น ES9039PRO และ ES9027PRO คือ เรือธง 

โดยตัว Pro จะแตกต่างจาก ตัว Hifi หรือ Q2M คือ มันจะมีชิป 8 ตัวในชิป 1 ตัว ซึ่งต่างจาก Q2M ที่มีชิปแค่ 2 ตัวเท่านั้น 

รุ่น PRO 8 Channel

ES9039PRO 32-bit Flagship Ultra High Performance 8-Channel DAC (สเปค 140dB SNR)

ES9038PRO 32-bit 8-Channel Audio DAC with 140dB DNR

ES9028PRO 32-bit 8-Channel Audio DAC with DNR up to 133dB

ES9027PRO 32 bit High-Performance 8-Channel DAC

ES9026PRO 32-bit 8-Channel Audio DAC with DNR up to 128dB

รุ่น 8 Channel ธรรมดา

ES9017 32-bit High-Performance 8-Channel DAC

ES9080 8 Channel SABRE DAC with built in line drivers

ES9018 32 Reference 32-bit 8-Channel Audio DAC

SABRE9006A Premier 8-channel Audio DAC


รุ่น Hifi 2 Channel ระดับ AudioPhile

ES9068AS 32bit Stereo Audiophile DAC/CODEC with MQA Rendering

ES9033Q 32bit stereo audiophile DAC with line drivers

ES9023P  24bit stereo audio DAC

รุ่น Hifi 2 Channel ระดับเน้นประสิทธิภาพ

ES9038Q2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC with 129dB DNR

ES9028C2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9028Q2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9018C2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9018K2M 32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9016K2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

ES9010K2M  32-Bit Stereo Mobile Audio DAC

 
3. Analog Devices
ถือเป็น แบรนด์เก่าแก่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะ AD1955 ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง 

- AD1955 

- AD5791BRUZ

4. Burr-Brown 
ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการเสียงที่มีรายละเอียดมาก ถือเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในวงการเครื่องเสียงมายาวนาน ในอดีต DAC ของพวกเขาได้รับการยกย่องมาโดยตลอด แต่ชิปเซ็ตอของพวกเขา อยู่ตั้งแต่ระดับไฮเอนด์ ถึงระดับล่างเลยทีเดียว

PCM1798 24 Bit (ข้อดีคือ มันสามารถเปลี่ยนชิป จาก PCM1794 2 Channel  เป็น PCM1798 5.1 Channel ได้เลย แต่หลายคนว่า เสียงมันไม่ต่างกัน ) 

PCM1796 24Bit 123dB SNR
PCM1795 32bit 192Hz  dynamic 123 dB 
(มันอยู่ใน Onkyo DA-1000)
PCM1704 มันถือเป็นรุ่นเรือธงในอดีต 
PCM1702
PCM63


5. Cirrus Logic

- CS43198 32Bit 137dB SNR

- CS43131
- CS8416 (Fx-Audio Dac X6)
- CS4398 (Fx-Audio Dac X6)

6. Wolfson
ถือว่าชิปเซ็ตสัญชาติอังกฤษ ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ โดยเฉพาะชื่อเสียงด้านความเพี้ยนที่ต่ำ และอัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวนสูง ทำให้ผู้รักเสียงเพลงค่อนข้างชื่นชอบ

WM8741 2 24bits 192db SNR

WM8740 2 24bits 116dB SNR



การเพิ่มประสิทธิภาพ DAC เพื่อให้ได้เสียงที่ดีที่สุด

1. เลือกชิปเซ็ต DAC ที่เหมาะสม

การเลือก ชิปเซ็ตที่เหมาะสมในตลาด 

2. แหล่งจ่ายไฟ

แหล่งจ่ายไฟเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพชิปเซ็ต DAC ของคุณ แหล่งจ่ายไฟ ที่สะอาดและเสถียรสามารถปรับปรุงคุณภาพเสียงของเอาต์พุตเสียงของคุณได้อย่างมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแน่ใจว่าชิปเซ็ต DAC ของคุณมีแหล่งจ่ายไฟคุณภาพสูงเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงรบกวนหรือการบิดเบือน นอกจากนี้ การใช้แหล่งจ่ายไฟภายนอกยังช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงของเอาต์พุตเสียงของคุณ ได้

3. ใช้สายเคเบิลคุณภาพสูง

การใช้สายเคเบิลคุณภาพสูงสามารถปรับปรุงคุณภาพเสียงของเอาต์พุตเสียงของคุณได้อย่างมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สายเคเบิลที่มีความต้านทานต่ำและมีฉนวนหุ้มเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนใดๆ นอกจากนี้ การใช้สายเคเบิลที่สั้นลงยังสามารถช่วยลดสัญญาณรบกวนได้อีกด้วย

4. ลดการรบกวน

การลดการรบกวนเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเพิ่มประสิทธิภาพชิปเซ็ต DAC ของคุณ จำเป็นต้องวางชิปเซ็ต DAC ของคุณให้ห่างจากแหล่งที่มาของการรบกวน เช่น เราเตอร์ ไมโครเวฟ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อื่นๆ นอกจากนี้ การใช้หม้อแปลงแยกยังสามารถช่วยลดสัญญาณรบกวนได้อีกด้วย




วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Koolaudio - การอัพเกรด OpAmp

Koolaudio  - การอัพเกรด OpAmp

OpAmp หรือ Operating Amplifier คือ วงจรรวม เพื่อใช้ อัพกระแส (โดยปกติ มันคือวงจรที่ประกอบไปด้วย Transitor อยู่ภายในจำนวนมาก มันคล้ายๆ กับชิปคอมพิวเตอร์ที่มี Transitor อยู่ในนั้นจำนวนมากเช่นกัน)

โดยมากมักมี 8 ขา ซึ่งนัก DIY ด้านเครื่องเสียง มักจะหาซื้อมาอัพเกรดเครื่องกัน แต่ถ้าให้ดีต้องตรวจเช็คจาก DataSheet ด้วย เพราะไม่งั้นเปลี่ยนไปอาจจะช๊อตเสียหายได้

วิธีดู OpAmp มีกี่ชนิด สเปคและ Feature ของมัน
1. VS รองรับแรงดันเท่าไหร่ (ปกติจะมีตั้งแต่ 9V-20V ตรงนี้ต้องเช็คให้ดี)
2. ไฟขาเข้าเป็นแบบไหน (Bi-Polar  JFET หรือ CMOS โดย CMOS จะเป็นระบบใหม่ที่สุด) 
3. Dual หรือ Single (ภายในจะมี 2 ตัว หรือ 1 ตัว)
4. High Slew rate (หน่วยเป็น Volt/เวลา ) ความหมายคือ ใช้เวลาในการขยายเร็วขนาดไหน ยิ่งมากยิ่งดี 
5. Low Noise (สัญญาณรบกวนต่ำ) หน่วยเป็นแรงดัน(V) ต่อความถี่(Hz)  นอกจาก สัญญาณรบกวน ภายในตัวมันเองต้องต่ำแล้ว วงจรต้องออกแบบมาดีด้วย จึงจะได้ Noise ที่ต่ำ
6. Low Distrotion (ความเพี้ยนต่ำ) หน่วยเป็น เปอร์เซนต์ ตัวนี้ เป็นการขยายที่วัดว่า ได้กราฟเพี้ยนไปจากเดิมเท่าไหร่ (รุ่นใหม่ๆ จะมีความเพี้ยนที่น้อยลงมาก)
7. Low Offset Voltage สัญญาณเข้าเป็น 0 สัญญาณออกจะมีเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นระดับ มิลลิโวลท์ไปแล้ว
8. Short Cucuit Protection มีวงจรป้องกันการช๊อตภายในหรือไม่ (ถ้าช๊อต มันจะตัดเป็น Mute ทันที) 
9. Low Power Consumption กินไฟน้อย (ถ้าเป็นแอมป์ รถ อาจมีผล ต่อแอมป์บ้านไม่ต้องพิจารณาก็ได้)
10. Single Supply , Dual Supply คือการเดินไฟเข้า แบบ 1 กับแบบ 2 (ไม่มี -)

ส่วนใหญ่จะใส่ ในส่วนของ Input (ต่อแชนแนล) กับ Output ขณะที่ หากมี Sub ก็จะมีเพิ่มขึ้นมาอีกตัว

Opamp มี 2 อย่างคือ Tone Pre (กินไฟเยอะ แต่ออกน้อย เน้นคุณภาพ) กับ Tone Power(ไฟต่ำแต่ออกเยอะ ไม่เน้นคุณภาพ)

โดยจะเน้นไปที่ OpAmp เซรามิกเป็นหลัก จะได้เสียงที่ดีที่สุด (มันทำขึ้นมาเพื่อป้องกัน High Speed  Oscillation)

การอัพเกรด ก็จะต้องดูว่า เป็นรุ่นที่ดึงได้เลย หรือต้อง บัคกรีขา โดยสังเกตทิศทางจาก รอยแง่งเป็นหลัก

- Burson V6 Classic มันเป็น discrete opamp แต่ถูกวิจารณ์ว่า มันถือเป็น OpAmp ระดับสูง ที่ไม่รู้จะติอะไร 

-Muse8920 มันคือตัวอัพเกรดของ 8820 โดยมีการใส่วงจร JFET เข้าไปในตัวด้วย อย่างไรก็ดี มันเป็นทางเลือกสำหรับคนที่เกลียดเสียงแบบดิจิตอลจ๋า ก็หลบมาใช้ OpAmp ตัวนี้เช่นเดิม

-Muse8820  คำวิจารณ์คือ หากใครต้องการเสียงแบบ แอมป์หลอด นี่คือ OpAmp ในฝัน ในงบที่จำกัด ข้อเสียคือ มันมีเสียงรบกวนที่ค่อนข้างชัด

- OPA1656  และ 2156 ถือเป็น OpAmp ที่สูงที่สุดของ Burr Brown  (ในปี 2020) โดยมันเป็น CMOS Opamp โดยมักจะใช้ OPA1656 กับปรีแอมป์ หรือ DAC  และใช้  OPA1642/1652 หรือ OPA861 กับแอมป์ จะเป็นที่่ได้รับความนิยมอย่างมาก

อย่างไรก็ดี การอัพเกรดตัวนี้ ตามเสปคมันจะต้องโหลด Capacitor 100pF ซึ่งมันอาจต่างจาก OpAmp ตัวอื่น ทำให้การสับเปลี่ยนอาจไม่ได้ผลที่ดีเท่าที่ควร

ที่สำคัญคือ การจะอัพเกรดมันจาก OpAmp รุ่น 5532 หรือ 2134 ต้องการ Adaptor เพื่อแปลงขาก่อนถึงใส่มันได้ 

- OPA1622 มันถูกออกแบบมาให้เป็น OpAmp สำหรับหูฟัง ทำให้มันทนทานต่อ อิมพีเดนซ์ต่ำได้ดีกว่า และไม่แนะนำให้เอาไปใช้ใน ปรีแอมป์

-OPA2604/604  มันเป็น Op-amp ที่ถูกยกให้เหนือกว่า 5532 แล้ว แต่มันแพงกว่า 5532 เพียงนิดเดียว

ตัวนี้มักถูกนำไปเทียบกับ OPA2134 แม้สเปกจะดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น แต่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่มักจะบอกว่า เสียงที่ได้มันไม่ต่างกับ OPA2134 เลย แต่ตามสเปกแล้ว มันจะต่างก็ต่อเมื่อหมุนปุ่มโวลุ่มไปที่ดังมากๆ เพราะ OPA2604 จะรองรับกระแสได้มากกว่า และอัตรา Slew rate ที่สูงกว่า ดังนั้นเสียงมันจะกระชับกว่า โดยหากใครใช้ 2134 แล้วฟังเพลงเบาๆ ไม่แนะนำให้อัพเกรดเป็นตัวนี้ เพราะจะเหมือนกับเสียเงินฟรี

แต่ถ้าเอามันไปเปรียบกับ OPA1612 สิ่งที่ต่างชัดๆ คือ มันจ่ายไฟเข้าแบบ CMOS (ไม่ใช่ทั้ง FET และ Bi Polar) ซึ่งเป็นระบบที่ใหม่กว่า จุดนี้เองที่นักวิจารณ์เครื่องเสียงบอกว่า มันอาจเป็นจุดจบของ FET และ Bi Polar 

อย่างไรก็ดี มันก็ถูกยกให้เป็น OpAmp ที่ควรค่าแก่การอัพเกรด เสียงค่อนข้างเป็นกลาง แต่รายละเอียดดีมาก 

- OPA637/627 ถือเป็น OpAmp ราคาแพง ที่ฝรั่งชื่นชมกันมาก ถือเป็นตัว Top ในอดีตของ Burr Brown เพราะมันถูกผลิตด้วยเลเซอร์แล้ว ทำให้มันมีความแม่นยำสูงมาก ความผิดเพี้ยนก็ต่ำมากๆ 

ตามเสปกแล้ว มันเหนือกว่า 2134 เกือบทุกด้าน  แต่ความจริงมันคือตัวอัพเกรดของ 2604 อย่างแท้จริง แต่ น้ำเสียงของมันกลับไปคนละทางกับ 2134 เลย โดย เสียงของมันจะมีน้ำหนัก และ บอดี้โดยเฉพาะเสียงแหลมที่มีมากกว่าอย่างชัดเจน แต่มันก็มาพร้อมกับเสียงรบกวนที่มากกว่า เช่นกัน จนหลายคนว่า มันไม่สามารถฟังเพลงได้นานๆ เมื่อเทียบกับ 2134 เพราะ 2134 เสียงมันดีอยู่แล้ว ใครที่ใช้ 2134 จึงไม่สามารถเปรียบเทียบได้ ว่าควรอัพเกรดหรือไม่ ?

ขณะที่มันถูกนำไปเทียบกับ MUSE003 มันกลับเหนือว่า ที่ความถี่สูงอย่างชัดเจน (กราฟของ 003 จะเริ่มเพี้ยนมากกว่า)

-AD838 มันเหมาะกับเสียงแบบ อนาล็อกมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อใช้กับภาค Phono

-AD712

-OPA2156  ถือเป็นตัวอัพเกรด ของ OPA2134 สัญญาณรบกวนน้อยกว่า บอร์ดแบนด์สูงกว่า แรงดันออฟ เซ็ตก็ต่ำกว่า อัตรา Slew ก็สูงก่วา 2134 ถึง 1 เท่าคือ 40 เลย

เรียกได้ว่า OPA2156  มันเป็นรุ่นปรับปรุงเกือบทุกด้านของ 2134 เลยทีเดียว

- OPA2134/134  มันถูกพัฒนาต่อจาก OPA275 มันถูกยกให้เหนือว่า TL072 เพราะเรื่องการกินไฟ และอื่นๆ อย่างน้อย และถือเป็น OpAmp สมัยใหม่แล้ว ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Opamp ที่มีความซับซ้อนของวงจร (เพราะมันรวมวงจร FET เข้าไปในตัวมันด้วย ทำให้ Noise จากวงจรภายนอกกระทบน้อยกว่ามาก) แม้ว่ามันจะยังมีความเพี้ยนเยอะเมื่อเทียบกับ OpAmp สมัยใหม่กว่ามันก็ตาม (แต่ยังน้อยกว่า 5532 และ TL072) นักเล่นเครื่องเสียงกลับนิยมรุ่นนี้กันมาก (โดยปัจจุบัน นัก DIY หันมาชอบ 2156 กับ 2604 แทน )

โดยมันจะมีตัวอัพเกรด (ภายในใช้ของดีกว่าเท่านั้น คือ OPA2132 แต่ถ้ารหัสต่อท้ายเป็น Standard grade มันจะเท่ากับ 2134 ที่ไม่มีตัวอัพเกรด)

** การเอาไปอัพเกรดแทน 5532 อาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร ขึ้นอยู่กับการออกแบบวงจรด้วย เพราะ 5532เป็น Bi-Polar แต่อันนี้เป็นแบบ JFET (ที่ต้องการ input ต่ำกว่า 2kOhm) แต่ 90% มันสามารถอัพเกรดแทนได้ (เพราะ JFET สามารถใส่แทน Bi Polar ได้เกือบทั้งหมด) ซึ่งนัก DIY ส่วนใหญ่จะแนะนำมือใหม่ให้เริ่มต้น  Upgrade 5532 เป็นตัวนี้ไปก่อน

** OPA2134 2132 เป็น Dual OpAmp ซึ่งมันใช้ OPA132 OPA134 แทนไม่ได้ เพราะมันเป็น Single OpAmp 

- OPA2111 เป็น op-amp ที่จริงๆแล้วตามสเปกแนะนำให้ใช้เป็นเครื่องมือวัด Monitor เสียมากกว่าที่จะเป็นเครื่องเสียง เพราะมันมีเสียงที่ค่อนข้างเป็นกลางมากๆ โดนเน้นไปที่ตัวถังแบบเหล็ก โดยมันจะเด่นที่เสียงแหลมที่ไปไกลกว่า ใสกว่า และกังวาลกว่า

- OPA602 เป็น Single op-amp ที่คนขายแนะนำว่าเสียงดี (เป็นอดีตตัว Top ของ Burr Brown ก่อน OPA637)

- TL071 ,072  ถือเป็น Op-Amp เจ้าตลาดราคาถูกเช่นเดียวกับ 5532 แม้มันจะมีประสิทธิภาพสูงกกว่า 5532 ในเกือบทุกด้าน  ใช้พลังงานก็น้อยกว่า แต่นักวิจารณ์ทุกคน ระบุว่า น้ำเสียงสู้ 5532 ไม่ได้เลยในทุดด้าน  โดยตามสเปกแล้วมันมีจุดอ่อน คือ เมื่อเสียงดังขึ้นมันก็จะยิ่งเพี้ยนมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้น Opamp ตัวนี้เหมาะกับการฟังเพลง เล็กๆน้อยๆ เท่านั้น
 
- OPA 275 มันเป็น Opamp ระดับเครื่องเสียง มีค่าตัว 7 เท่าของ 5532 แต่มันกลับมีความเพี้ยนที่สูง และยังมีสัญญาณรบกวนที่สูง  แถมไม่ชอบความถี่ต่ำอีกด้วย

-AD797 มันราคาแพงกว่า 5532 20 เท่า แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า 5532 และการออกแบบก็ง่ายพอ ๆ กับ 5532 ก็ตาม มันยังมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า 5532 พอสมควรเท่านั้น

-LM4562 เปิดตัวในปี 2550 แต่ราคาที่ค่อนข้างแพงมาก (ราคาเปิดตัวนั้นแพงเท่ากับ 12 เท่าของ 5532) มันถูกยกย่องให้เป็นผู้มาปราบ 5532 เพราะ 30 ปีในตลาดเครื่องเสียง ยังไม่มีชิป Opamp ที่ดีกว่านี้เลย จน National ออก LM4562 ออกมา  แม้ว่าจะเหนือกว่าทุกด้าน แต่มันไม่ทนต่อ สัญญาณรบกวนภายนอก ดังนั้น ต้องวางแผนป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกให้ดี 

- NE5532/5534 (ออกปี 1977) ถือเป็น op-amp แบบ Bi-Polar ในตำนานที่มีราคาถูก เครื่องเสียงราคาแพงๆ มักนำมันไปใช้ กรณี ที่แหล่งผลิตดีๆ จะถูกนำไปเทียบกับ Burr Brown ตัว Top เลยทีเดียว

มันมีสองเกรด คือ ของไทยตามบ้ามหม้อ และ  ยี่ห้อ Philips หรือ signetic (ความจริงมันยี่ห้อเดียวกัน เพราะ Philips มันเทคโอเวอร์ Signetic) มันถูกออกแบบวงจรโดย National Semiconductor เพื่อให้ชนะ LM741 ในทุกด้าน และมันยังถือเป็นตัวอัพเกรด ของ4558 อีกด้วย)

ในตลาด Audio ถือว่า มันแทบยึดครองตลาดบน -ตลาล่างมายาวนาน อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน มันมีราคาค่อนข้างถูก และหลุดจากเครื่องเสียงราคาแพงไปนานพอสมควร 

จุดเด่นด้านเทคนิกของ 5532 คือ มีสัญญาณรบกวนต่ำ ความผิดเพี้ยนภายในตัวมันเอง ก็น้อยมากๆ แต่ผลทดสอบในห้องแลปพบว่า ความเพี้ยนมักเกิดจาก Capacitor ที่จ่ายไฟให้มัน แม้ว่ามันจะต้องการใช้ Capacitor เพียง 100uF ก็พอ แต่หลายคนแนะนำให้ใช้ที่ 220uF แทน แต่เน้นว่าต้องเป็น Cap ที่มีความเพี้ยนน้อย (ดังนั้น การ Upgrade Cap สำหรับ NE5532 นั้นจึงมีความสำคัญมาก)  และต้องอยู่ไม่ไกลจาก 5532 ไม่เกิน 2-3มิลลิเมตรเท่านั้น และควรใช้ตัวเก็บประจุแค่ตัวเดียวเท่านั้นอีกด้วย)

บทสรุป  ในอดีต มันอยู่ระดับแนวหน้าของวงการ Audio แต่ปัจจุบัน มันไม่ใช่ระดับแนวหน้าอีกต่อไป โดยหากเครื่องเสียงที่ยังใช้ NE5532 นั้นมักจะโดนเปรียบเทียบกับ เครื่องเสียงญี่ปุ่น ยุค 70's ที่มีความเพี้ยนต่ำ แต่เสียงโคตรแย่ คือ ทื่อๆ ตรงๆ และแห้งผาก

- NJM4558 หรือ JRC 4558 

- LM747/741(Single) ถือเป็นยุคบุกเบิก ของ Opamp (ออกขายในปี 1968 เป็นรุ่นที่ 2 ต่อจาก LM709) ข้อเสียคือ ความเพี้ยนจะเพิ่มขึ้นตามความถี่ของเสียงที่สูงขึ้น แต่ข้อดีคือ มันราคาถูกที่สุด

นอกจากนี้ยังมี discrete opamp  ที่เป็นการประกอบชิั้นส่วนอิเลกโทรนิกส์ ขึ้นมาผ่านแผ่นปริ้นท์  จึงเห็นมันมีขนาดใหญ่กว่า IC 



เครื่อง Aiyima es901862m
เครื่องนี้ใช้ Opamp 3 ตัว สามารถอัพเกรดได้ทั้ง 3 ตัว 2 ตัวเป็น TI NE5532 ตัวแปลง I/V และ LPF - มันเป็นชิปที่ดีแค่ค่อนข้างเก่ามากๆ ส่วนใหญ่แล้วจะแปลงไปเป็น opa2604 (แนะนำที่สุด และได้เปลี่ยนเป็นตัวนี้แล้ว) หรือ AD825 opa2134(ถูก)) อีก ตัวเป็น Ti TL072 เป็น buffer (ทุกคนแนะนำให้แปลงเป็น opa2134pa) Capacitor 6.3V 470uf

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565

็HTPC - จอโทรทัศน์

สิ่งที่ต้องเรียนรู้ เกี่ยวกับภาพ จะมีดังนี้

1. Resolution 4K
ปัจจุบัน โทรทัศน์ส่วนใหญ่จะรองรับมาตรฐาน  4K (ในทางการตลาดเรียกว่า ชัดกว่า Full HD 4 เท่า)

แต่ความจริงแล้ว  4K จะมี 2 มาตรฐาน ดังนี้
1.1 มาตรฐาน อุตสาหกรรมโทรทัศน์ คือ 3840x2160 หรือ เรียกว่า 4K UHD
1.2 มาตรฐาน อุตสาหกรรมภาพยนตร์ (โรงหนัง) จะใช้  4096x2160 หรือเรียกว่า DCI 4K

2. Refresh Rate 
บางคนจะใช้ Hz (เฮิร์ต) เป็นสัญลักษณ์ ว่า จอภาพสามารถแสดงภาพนิ่งได้กี่ภาพ หรือ เฟรม   ภายใน 1 วินาที  จึงเป็นที่มาของคำว่า Frame Rate per second หรือ fps ปัจจุบัน โทรทัศน์ส่วนใหญ่รองรับที่ 60Hz ขณะที่จอคอมพิวเตอร์ระดับสูงไปถึง 144Hz แล้ว คือ ถ้ายิ่งมาก ภาพจะยิ่งลื่นไหลมากขึ้น แต่ จะกินทรัพยกรในการถอดรหัสอย่างมาก

แต่การปรับค่าที่สูงเกินไปก็อาจจะไร้ประโยชน์ เพราะภาพยนตร์ส่วนใหญ่ถ่ายทำที่ 23.97 fps เท่านั้น 

3. YUV / YCbcr และ RGB (ส่งสัญญาณไปโทรทัศน์)

ทั้งหมดเป็นการเข้ารหัส เพื่อแจกแจงสี (Luminance) ของจอภาพ (เครื่องเล่นจะส่งสัญญาณอะไรออกมาให้โทรทัศน์ได้รับไป)

YUV และ YCbcr ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน แต่ YUV จะเป็นมาตรฐานสำหรับ อุตสาหกรรมโทรทัศน์ โดยเฉพาะ สัญญาณอนาลอก เช่น PAL NTSCส่วน YCbcr นั้น จะเป็นมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น

ส่วนใหญ่ตัว Y จะหมายถึง ความสว่าง Brightness ส่วน U-V จะเป็นการเทียบสีกับแสงสีฟ้า และ Vเทียบกับแสงสีแดง
ดังนั้นภาพหนึ่งภาพ ของ YUV จะเกิดจาก Y ขาวดำ U ฟ้า และ V แดง

RGB จะแยกเป็น Red Green Blue ตรง
RGB24 จะหมายถึง 8 Bits นั่นเอง  (8x3)
RGB32 จะหมายถึง 8 Bits แบบพิเศษ คือมันจะมี มากกว่า RGB มาอีก 1 ตัว เป็น 8x4 (ตัวพิเศษจะเรียกว่า  transparency mask)
RGB48 จะหมายถึง 16 Bits (16x3)


ถึงตรงนี้ มีคำถามว่า ถ้าให้เลือกปรับ YUV กับ RGB ควรปรับเป็นอะไร เขาแนะนำให้ปรับ เป็น YUV ภาพจะออกมาดีกว่า  เพราะ YUV จะมีประสิทธิภาพที่มากกว่า และ ใช้ Bandwidth ที่น้อยกว่ามาก

4. 444 422 420 (แสงและสี)
คือการเก็บข้อมูลใน 1 Pixel ว่ามีความละเอียดเท่าไหร่ โดย 444 เก็บข้อมูล ความสว่าง(Luma)  และ สี(Chroma)  ซึ่ง 444 ก็จะเก็บข้อมูลที่ขนาดใหญ่กว่าด้วย

ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับข้อ 3 ยกตัวอย่างเช่น YUV442 (จะเรียกรหัสสั้นๆ เป็น I442) 

5. 8 10 12 16Bits (สีอย่างเดียว)
มันคือ Color bit Depth คือ เฉดสี ยิ่งละเอียดมาก ภาพก็จะยิ่งเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น บางทีใช้ศัพท์ว่า  HDR8 HDR10 แต่บางทีจะซ่อนมา ซึ่งเราไม่รู้  เช่นคำว่า  Dolby Vision จะใช้ที่ 12Bits 
โดย 8Bit จะอยู่ที่ 16 ล้านสี 10Bit จะได้ 1 พันล้านสี  12Bit จะได้ 68 พันล้านสี

ย้อนกลับไปข้อ 3 จะมี YV12 คือ YUV420 12Bits  นั่นเอง








วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

Volkswagen Golf Mk3 : upgrade Brake

รวมความรู้เรื่องเบรค สำหรับ Volkswagen Golf Mk3 อัพเกรด ดังนี้

หากไม่รู้ว่า จานเบรคควรอยู่ที่ขนาดเท่าไหร่ เรามีรถยนต์ให้เทียบดังนี้

1. Jazz GD + City ZX  240mm
2. Yaris + Vios 2002-2015 (2 รุ่น)  255mm
3. Benz C200 W202  284mm
4. Civic FD Type R EP3 300mm
5. Accord Gen9  293mm

อย่างไรก็ดี คำแนะนำสำหรับมือใหม่ก่อนเลย คือ ต้องเข้าใจว่า หากคุณไม่ได้อัพเกรดเครื่องยนต์ การเปลี่ยนเบรคจานใหญ่ จะทำให้ ความแรงของเครื่องยนต์โดนลดทอนลงมา หรือเรียกว่า วิ่งอืดขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการแปลงใส่จานเบรคขนาดใหญ่กว่าเดิมมากๆ และต้องเปลี่ยนล้อที่ใหญ่ขึ้น อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับรถยนต์ทั่วไป และอีกอย่างคือ มันกินน้ำมันมากขึ้นด้วย

ขนาดสำหรับรถทั่วไป
ล้อ 15 ใส่จานได้ขนาดสูงสุด  280mm (ต้องวัดดวงจาก ก้านของล้อแม็คด้วย)
ล้อ 16  ใส่จานได้ขนาดสูงสุด 300mm (ต้องวัดดวงจาก ก้านของล้อแม็คด้วย)
ล้อ 17  ใส่จานได้ขนาดสูงสุด 328 mm  หากต้องการใส่จานขนาด 328 มากกว่านี้ ต้องทำอีกเยอะ เช่น เจียซุ้มล้อ เปลี่ยนโช็คแข็ง  (ไม่แนะนำให้ทำ เพราะจะทำให้ การดูแลรถ ลำบากมากขึ้น)

Volkswagen Golf Mk3 2.0
ขนาดมาตรฐานโรงงาน ประมาณนี้
หน้า
256mm(10.1") 13 mm 4x100
256mm(13") 20 mm  สูง 38 mm  เป็นแบบระบายอากาศมี 2 ชั้น (คาลิปเปอร์ รุ่น Girling 54 รุ่นจานชั้นเดียว) 4x100
VR6 280mm  22mm 5x100  (คาลิปเปอร์  รุ่น Girling 54 จะเห็นว่า ใช้จานขยายเท่านั้น แต่ขยายจาก 256 ไป288 เลย)
GTi 288mm (20) 22mm  5x100 (รุ่นนี้เปลี่ยน Caliper เป็น Girling 60) ที่สำคัญคือ ล้อต้องขนาด 16 นิ้วขั้นต่ำแล้ว

หมายเหตุ Girling ก็คือ Lucus บางทีเรียก Girling/Lucus นั่นเอง ส่วน 54 คือ กระบอกสูบปั้มเบรค ขนาด 54 mm เท่านั้นไม่ใช่ชื่อรุ่นที่แท้จริง โดยเฉพาะขนาด หรือ ผ้าเบรคก็แตกต่างกันออกไป

หลัง
239mm(10) 12 mm 4x100  เบรครุ่นนี้จะใช้มาตั้งแต่ Mk1 - Mk3 เลยทีเดียว
239mm(10) 20 mm 5x100  คาลิปเปอร์ทั้ง 2 รุ่นยังเป็นเหล็กหล่อ

ในไทยจะมี 2 รุ่นคือ รุ่น 239 กับ 256 mm 2 ชั้น แต่ รุ่นนี้ข้อเสียคือ ปั้มเล็ก และมีแค่ Pot เดียว เทคโนโลยีเก่ามาก เพราะใช้มาตั้งแต่ MkII (90-92) ที่สำคัญคือ ส่วนใหญ่ คาลิปเปอร์ เป็นเหล็กหล่อที่มีน้ำหนักมาก

ถ้าใช้จานรุ่น 256  สามารถอัพเป็น Mk4 ก่อนรุ่น Turbo หรือ รุ่นใหญ่ได้เลย แค่แปลงจานรู 5 รูให้เป็น 4 รู

Volkswagen Gofl Mk3 GTi
ขนาดจาก 288(25) 
Volkswagen Golf Mk3 VR6 จะใช้ Girling54 จานมีขนาด 10.1" แต่บางครั้งจะพบ 10.8-11.3" ข้อดีคือ แม้จะมี Pot เดียวแต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมา
ข้อดีของ การเปลี่ยน Hub เป็น VR6(280) แล้วคือ มันสามารถอัพเป็น Mk4 รุ่น 1.8T (288)ได้เลย

Volkswagen Corrado G60 11" (ถ้าจะใช้ต้องเอา Girling 54 calipers และตัวหิ้วจาก Corrado G60 มาด้วย ส่วนจานมัน 4 /100 อยู่แล้ว บางคนบอกว่า แค่เปลี่ยนจาน คาลิปเปอร์เดิม)

Volkswagen Golf MK4 , New Beetle Audi TT (Gen 1)  
จานจะมีตั้งแต่ 280(22) 288(25) 232 (11นิ้ว)(แต่ประเด็นคือมัน 5 รู 100)
โดยมีข้อดี สำหรับการอัพเกรดเบรค Mk3 คือ คาลิปเปอร์เบรคหลัง เป็นอลูมิเนียม และสามารถใส่แทนของเก่าได้เลย (แต่ความจริงคือ เบรคหลังของ Mk3 ขนาด 
239mm(10) 12-20 mm แต่เบรคหลัง Mk4 ขนาด 232 mm 9 mm แต่จะเห็นว่ามันเบากว่ามาก

แต่หากใครใช้ Mk4 อยู่เมืองนอกแนะนำให้อัพเป็นรุ่น 312mm เพราะแทบไม่ต้องแปลงอะไรเลย หาจานกับ คาลิปเปอร์มาเสียบแทนของเก่าได้เลย

VW Golf R32 | Audi TT 3.2 Quattro
หน้า  334 mm หนา 32 mm  คาลิปเปอร์  แบบคู่ 32+42mm (ต้องใช้ล้อขนาด 17 นิ้วขึ้นไปต้องไปลุ้นก้านแม็ คอีกต่างหาก)
หลัง 256 mm หนา 22 mm  ยี่ห้อ Lucas ลูกสูบเดี่ยว 38mm

Volk Golf GTi   Aniversery  V5   V6 (Audi TT Quattro 225hp ) 
ถือเป็นเป้าหมายของคนที่เปลี่ยนช่วงล่างเป็น  Mk3 VR6  แล้วกันเลยทีเดียว แต่ต้องใช้ล้อต้อง 17 นิ้ว
หน้า 312 mm 25 mm ยี่ห้อ Ate ลูกสูบเดี่ยว 54 mm (ล้อต้องมีขนาด 16 นิ้วขึ้นไป)
หลัง 256 mm 22 mm ยี่ห้อ Lucas ลูกสูบเดี่ยว 38 mm

รุ่นนี้ถือเป็นเป้าหมายของ Mk4 เลยทีเดียว แต่ที่นิยมกว่า คือ ต่างชาติเขามักจะเลือกใช้คาลิปเปอร์ของ Porsche Boxster 996 ที่มีขนาดจานเบรคเท่ากัน เพราะมันเป็นโมโนบล็อก ที่เบากว่ารุ่นแต่งของ Brembo เสียอีก  โดยมีขนาดลูกสูบ 36 กับ 40 (แต่ระวัง มันจะมีรุ่นที่ไม่ต้องแปลงกับรุ่นที่ต้องแปลง) 

Audi TT (180ม้า)
หน้า 312 mm(12.3) 25 mm ยี่ห้อ Ate ลูกสูบเดี่ยว 54 mm (ถ้า Volk Mk4 ต้องอัพเกรดรุ่นนี้ต้องเอาช่วงล่างบางส่วน โดยเฉพาะคอม้าจากรุ่น 1.8T มาด้วย)
หลัง 232 mm 9 mm ยี่ห้อ Lucas ลูกสูบเดี่ยว 38 mm

Volk Golf IV GTi 1.8T VR6 130-150 TDI V5 150
หน้า 288 mm (11.3)25 mm Ate ลูกสูบเดี่ยว 54 mm
หลัง 232 mm 9 mm

Volk Golf IV 2.0 8v TDI 
หน้า 280 mm (11.0) 22 mm  ลูกสูบเดี่ยว (ตัวหิ้วคาลิปเปอร์ ผสมเข้าไปใน Hub)
หลัง 232 mm 9 mm

Volk Golf 1.4 16V  8V
หน้า 256 mm(10.1) 22 mm  ลูกสูบเดี่ยว (ตัวหิ้วคาลิปเปอร์ ผสมเข้าไปใน Hub)
หลัง 232 mm 9 mm

Volkswagen Golf Mk5
Volkswagen Golf Mk5 GTi
 
หน้า จานขนาด  12.3"  4 Calipers ต้องล้อ 16 นิ้วขึ้นไป

Volkswagen Golf Mk5 R32 3.2L V6
หน้า จานขนาด 345 mm 22mm (มาพร้อมกับล้อมาตรฐาน 18 นิ้ว)
หลัง จานขนาด 310 mm 22 mm Bore Diameter 65

Audi TT Gen 2
 
หน้า จานขนาด 12.3" หลัง 11"  ประเด็นคือ ล้อต้องใหญ่กว่า 16 นิ้ว

Volkswagen Scirocco 
หน้า จานขนาด 330 mm คาลิปเปอร์ 4 Pot 


Volkswagen Golf Mk7 (1.0-2.0Td )
เบรคหน้า 272mm 10 mm (จานชั้นเดียว)  จะใช้ทั้งยี่ห้อ Ate และ TRW แล้วแต่ใครได้ยี่ห้อไหน 
เบรคหน้า 288mm 25 mm (จาน 2 ชั้น)
เบรคหลัง Ate

Volkswagen Golf Mk7 GTi  (2.0 Turbo 290 แรงม้า)
หน้า TRW 
หลัง 272mm Ate

Volkswagen Golf Mk7 GTi R (Audi S3 2.0 Turbo 300 แรงม้า)
หน้า TRW
หลัง 310mm Ate

KoolAuto : Carbon Fiber (CF) หรือ เส้นใยคาร์บอน

เริ่มแรก มือใหม่หัดซิ่งจะสงสัยว่า มันดีกว่าเดิมอย่างไร ? เริ่มแรก เราจะแนะนำว่า รถสปอร์ตในอดีต จะใช้ ไฟเบอร์กลาส (เส้นใยแก้ว Glass-Fiber) มาขึ้นรูป แล้วเสริมความแข็งแรง ด้วย เคฟล่าร์ หรือ เส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์นั่นเอง

ข้อดีคือ น้ำหนักที่เบา 


เราจะเรียงเทคโนโลยี ความเบา ไปตามนี้
1. Glass Fiber ในอดีต ถือเป็นวัสดุที่เบา และขึ้นรูปง่ายกว่า เหล็ก และ อลูมิเนียมอีก แถมยังไม่เป็นสนิมอีกด้วย ที่สำคัญสุดคือ ความจริงแล้ว หากเป็นการผลิตแบบจำนวนน้อย มันก็มีต้นทุนการสร้างที่ถูกกว่าอีกด้วย เพราะมันต้องการเครื่องมือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

มันเป็นที่นิยมมาก สำหรับรถสปอร์ตซุปเปอร์คาร์ในช่วงทศวรรษที่ 60 โดยเฉพาะการเอาไปสร้างเป็น Chasis โดยเฉพาะ Lotus Elite แต่ข้อเสียของมันคือ ข้อต่อต่างๆ และจุดยึดน๊อตที่ไม่ดีเท่าที่ควร และชิ้นส่วนต้องไม่มีแรงเค้นมากนัก

2. Carbon-Fiber  มันถูกใช้ครั้งแรกๆ ในอุตสาหกรรมการบิน และอวกาศ รวมถึง รถแข่ง เหตุผลเพราะมันมีอัตราส่วน ปริมาตรต่อน้ำหนักที่อยู่ในขั้นสูงเลยทีเดียว มันเริ่มเห็นตั้งแต่ Ferrari 288GTO และ Porsche 959 

Carbon Fiber จะมีลักษณะคล้าย ผ้าถักทอ (มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 5-10 ไมโครเมตร โดยประกอบไปด้วย อะตอมของคาร์บอนเป็นหลัก) โดยอีกด้านจะเป็นอลูมิเนียมฟอลย์ มันสามารถเอาไปแปะกับวัสดุได้หลากหลาย ด้วย Resin ทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง ด้วยความร้อน 120องศา และแรงดัน 90PSI  หลังจากเสร็จกระบวนการ คาร์บอนไฟเบอร์จะหลอมเป็นชิ้นดียวกัน 

ทุกวันนี้ รถยนต์ซูปเปอร์คาร์ ส่วนใหญ่จะใช้ Carbon Fiber เกือบทุกชิ้นแล้วที่ใช้ได้ (ใช้จนมากกว่าอลูมิเนียมอีก)

ประวัติของคาร์บอน ไฟเบอร์

มันเกิดมาตั้งแต่โลกเริ่มมีหลอดไฟ ใช่ โธมัส เอดิสัน เป็ฯคนนำเส้นไม้ไผ่ เผาไฟให้เป็นคาร์บอน เพื่อใช้สร้างไส้หลอดไฟครั้งแรกของโลก แต่มันมีส่วนผสมของคาร์บอน เพียง 20% เท่านั้น ต่อมาจึงมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามพัฒนา ให้เส้นใยคาร์บอนที่สูงขึ้นๆ 

จนในที่สุด ก็ใช้ เรยอน มาผลิต คาร์บอน ไฟเบอร์ ที่ได้สูงถึง 99% ตอนนี้มันมีความแข็งแรงเพียงพอ และยังมีแรงต้านแรงดึงที่สูงมาก และทนต่อสารคเคมี ที่ดีมากแล้ว ที่สำคัญคือ เมือ่เทียบกับน้ำหนัก มันเป็นวัสดุที่เยี่ยมเลยทีเดียว

แต่ในช่วงทศวรรษที่ 60 อุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเร่งพัฒนา การผลิตคาร์บอนไฟเบอร์จากผลิตภัณฑ์จากน้ำมันสำเร็จ แม้ว่าจะมีคาร์บอนเพียง 85% ก็ตาม แต่ต้นทุนการผลิตก็ลดลงอย่างมาก

ถัดมา ก็เริ่มมีการพัฒนา จนเป็นเบอร์ T400 (ทนแรงดึง 4000Mpa) Im600 (ที่ทนแรงดึง 6000Mpa) ซึ่งเป็นชื่อการตลาด ที่วัดกันที่แรงดึงของแต่ละบริษัทมากกว่า ปัจจุบัน แม้ว่าอุตสาหกรรมการบินจะใช้ที่ระดับ 10000Mpa แต่สำหรับอุตสากรรมรถยนต์แล้วจะใช้ทนแรงดึงกันที่ 5000Mpa เป็นหลักเท่านั้น

(ขออธิบายแบบนี้ครับ เนื่องจากมันเกิดจากอะตอมโมเลกุลเดี่ยวของ คาร์บอน ยิ่งทำให้มีขนาดเล็กเท่าไหร่ ก็ทนแรงดึงได้ดีเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น Im600 จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 5 ไมโครเมตรเท่านั้น นี่คือปัจจัยที่ทำให้ของดี กับของถูกต่างกันเล็กน้อย)

ถึงตอนนี้ในปี 2549 สิทธิบัตร คาร์บอนไฟเบอร์ก้เป็นของมูลนิธิมหาวิทยาลัยเทนเนสซี ซึ่งหมายความว่า ใครจะเอาไปใช้ก็ได้แล้ว

เคฟลาร์ คืออะไร
เคฟลาร์นั้น จะคล้ายกับ คาร์บอนไฟเบอร์ เกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะแรงต้านทานการดึงก็ใกล้เคียงกับ คาร์บอนไฟเบอร์ แต่มันกลับแข็งแรงน้อยกว่าคาร์บอนไฟเบอร์ อีกด้วย แต่ก็มีข้อทดแทน คือ มันยืดหยุนได้สูงกว่า คาร์บอนไฟเบอร์ (เหตุผลที่บอกว่า ใกล้เคียงกัน เพราะ ตามที่อธิบายไปข้างต้น คือ คาร์บอนไฟเบอร์นั้นมีหลายเกรด)

อย่างไรก็ดี เคฟลาร์นั้นจะมีส่วนประกอบของ อะตอมไนโตรเจน เข้ามาผสมด้วย และยังมีพันธะเคมของ ไฮโดรเจนอีกด้วย ทำให้ เคฟลาร์นั้นไม่ค่อยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่เริ่มต้นนั้น ผู้ผลิตก็ประกาศทันทีว่า เคฟลาร์ มันแข็งแรงกว่าเหล็ก 5 เท่า

ดังนั้น มันจึงไม่เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่กลับไปได้ดีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ มากกว่า ยกตัวอย่างเช่น เสื้อกันกระสุน หรือ ถุงมือนักบินอวกาศ  แต่เคฟล่าร์ มันก็ใช้ในเป็น เส้นใย สำหรับยางรถยนต์สำหรับแข่งขันอีกด้วย

น้ำหนัก
ส่วนใครที่มาบอกเด็กมือใหม่ว่า เคฟลาร์นั้นเบากว่า คาร์บอนไฟเบอร์ นั้น บอกเลยว่า ถูกหลอก แน่นอน เพราะความจริงแล้ว น้ำหนักของทั้ง 2 อย่างนั้น ไล่เลี่ยกัน แต่ไปวัดกันที่ใครเท เรซิ่น หรือ Epoxy หนากว่ากันมากกว่า












วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565

HTPC : ปัญหากับ Onkyo Reciever

การแก้ปัญหาเบื้องต้น

การรีเซ็ตค่าโรงงาน
กด VCR (บางรุ่นตำแหน่งนี้จะเป็น CBL) ค้างไว้ +  กดปุ่มเปิด On/off ค้างไว้ด้วยกัน จนหน้าจอขึ้น Clear
บางรุ่นจะกดดังนี้ Stereo (3วินาที) + StandBy  หน้าจอขึ้น Reset กด Surround หน้าจอขึ้น Ok กด DSP

การเข้า Audio Debug Mode
กด Display
ค้างไว้ 3 วินาที แล้วกดปุ่มเปิด/ปิด พร้อมกันจะเข้า Debug Mode  โดยบางรุ่น   มันอาจจะโชว์ชั่วโมงการทำงาน 
ครั้งแรกจะแสดง Microprocessor ว่า Version อะไร
ถัดมา กด Tone + (ภายใน 3 วินาที) มันจะแสดง DSP เวอร์ชั่นอะไร
ถัดมา กด Display อีกครั้ง มันจะเข้า Audio Debug Mode เต็มตัว
ถัดมา กด  Tone + - มันจะเป็น Audio Debug Mode

มันจะขึ้น ตัวเลข 3 ชุด ดังนี้ xxxxxx : xx : xx 
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไปกดปุ่ม Pure หน้าจอต้องขึ้น 020000 : DA : 40   

การเข้า HDMI Debug Mode 
ให้เริ่มต้นด้วยการเข้า เช่น VCR แล้วเสียบสายให้เรียบร้อย 
ต่อมากด Display ค้างไว้  มันจะต้องบอก Resolution และ Refresh Rate
ถ้าขึ้น Unknow จะแปลได้ว่า No Signal 

การเข้า Service Information Mode
เริ่มต้นเข้าเหมือน Audio Debug Mode คือกด Display พร้อมกับ ปุ่มเปิดปิดเครื่อง
ต่อมากด Home  >> หน้าจอจะบอก อุณหภูมิว่า ฮีทรึเปล่า กระแสไฟมายังไง



แต่ประเด็นที่สำคัญคือ HDMI Board ที่มักจะเสียที่ ประมาณ 20,000 ชั่วโมง
1. แนะนำให้เปลี่ยนไปทั้ง Capacitor ไปด้วยเลย 
2. Chip DTS  บนบอร์ด เนื่องจากบอร์ดเหล่านี้มักใช้ตะกั่วเหลว รุ่นทนความร้อนน้อย ทำให้ บางทีเราอาจเป่าลมร้อนเข้าไปก็เรียบร้อยแล้ว


กรณี ต้องการใช้ Analog แต่ HDMI เสีย จะต้องบังคับเข้า Mode Analog เลย Input HDMI ต้องให้มันข้ามเลย

1. สิ่งแรกคือ ต้องลง Driver Realtek ให้ถูกต้องให้หมดก่อน

2. พยายามอย่าให้ Hdmi เป็น audio Pass Through  เพราะมันจะส่งผ่านไปโทรทัศน์ ถ้าคุณให้มันผ่านไปที่ โทรทัศน์ มันจะเป็น TV แทน ซึ่ง รีซีฟเวอร์ แมันจะบนเสียง แค่ Stereo 

เราต้องเข้าไปที่  Setup >> Hardware >> HDMI >> HDMI Audio Out : off


2. upgrade Windows 10 เป็น Pro

3.

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

Racing 101 : รถยนต์ไฟฟ้า ต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง

แบตเตอรี่
หลายคนกังวลว่า แบตเตอรี่จะเสื่อมเร็วเกินไป  แต่หลายคนกลับกังวลว่า มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า  EV นั้น จะเสื่อมเร็วขนาดไหน

วันนี้เรามาดูกันว่า รถไฟฟ้ามีอะไรที่เสื่อมเร็วบ้าง
1. แผงวงจรชาร์จเจอร์ DC2DC
มันเป็นตัวที่ทำงานตลอดเวลา โดยมันจะพยายามชาร์จไฟเข้า แบตเตอรี่ 12V 

2. มอเตอร์ไฟฟ้า
มอเตอร์ไฟฟ้านี้ เราจะเทียบกับ ประสิทธิภาพ และความเสื่อมของมอเตอร์รถยนต์ (ไม่เกี่ยวกับอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ) ประเด็นที่เราสนใจ คือ อายุการใช้งานของมอเตอร์ไฟฟ้า

อายุการใช้งานของมอเตอร์ไฟฟ้า
แต่มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้านั้น ก็มีหลายชนิด เช่นกัน
มอเตอร์แบบแม่เหล็ก ซิงโครนัส แบบถาวร Permanent Magnet Synchronous Motor
มอเตอร์เหนี่ยวนำกระแสสลับ AC Induction Motor
มอเตอร์แบบรีลักแตนซ์  Reluctance motor
มอเตอร์แบบกระแสตรง  DC Motor. Electric motors 

อย่างไรก็ดี มอเตอร์นั้นมีข้อดีอย่างหนึ่งที่เหนือกว่า เครื่องจุดระเบิดภายใน (ICE) เพราะมันมีอุปกรณ์น้อยกว่ามาก และซับซ้อนก็น้อยกว่ามาก มันไม่มีอะไหล่ที่เสื่อมมากเท่ากับเครื่องยนต์แบบ ICE  และความร้อนที่นำไปสู่การเสื่อมของอุปกรณ์ต่างๆ ก็น้อยกว่ามากด้วย

ประเภทของมอเตอร์ไฟฟ้า

มอเตอร์กระแสตรง (DC Motors) ภายในระยนต์จะใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 96-192 โวลต์ จึงสามารถสร้างแรงบิดที่สูงได้ โดยมันจะแยกเป็นแบบมีแปรง  BLDC และ แบบไม่มีแปรง และแบบสเต็ป อีกด้วย

มอเตอร์กระแสตรง แบบมีแปรง ข้อดีคือ มันเป็นมอเตอร์ที่มีต้นทุนต่ำ แต่แน่นอนว่า มันมีแนวโน้มที่จะสึกหรออย่างรวดเร็ว และต้องเปลี่ยนตามระยะทางบ่อย (ใครนึกไม่ออกให้นึกถึง มอเตอร์พัดลมหม้อน้ำ ที่ แปรงถ่านมักจะสึกหมด) 

มอเตอร์กระแสตรงแบบไม่ใช้แปรง หรือ BLDC  มันใช้การสับเปลี่ยนทางอิเล็กโทรนิกส์ แทน จึงมีประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือสูงกว่า  การสึกหรอน้อยกว่า นอกจากนี้มันยังตอบสนองได้เร็ซกว่า ทำงานเงียบกว่าที่ช่วงความเร็วสูงก็ตาม น้ำหนักก็เบากว่าเล็กน้อย แต่ข้อเสียคือ มันต้องการระบบการจ่ายไฟที่ซับซ้อนเพื่อจ่ายไฟให้มัน

มอเตอร์เหนี่ยวนำกระแสสลับ   มันจ่ายไฟด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ มันนุ่นนวล และทรงพลัง มันมีพื้นฐานของการทำงานคือ สนามแม่เหล็ก ขดลวด และแม่เหล็ก เมื่อจ่ายไฟกระแสสลับให้กับขดลวด

มันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ มอเตอร์ อะซิงโครนัส และมอเตอร์แบบซิงโครนัส 

มอเตอร์อะซิงโครนัส   ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจาก มันใช้กลไกทางอิเลคโทรนิกส์ในการควบคุมความเร็วที่เชื่อถือได้และควบคุมได้ง่ายที่สุด 

มอเตอร์ซิงโครนัส  มันมีประสิทธิภาพสูงกว่า มีแรงบิด และกำลังที่สูงกว่า มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบาอีกด้วย

มอเตอร์ซิงโคนัส แบบถาวร  มันจะมีแม่เหล็กช่วยกระตุ้นล่วงหน้า ทำให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นอีกเล็กน้อย และยังเป็นระบบส่งกำลังแบบเกียร์เดียว ที่ขับเคลื่อนด้วยรอบสูงในรถยนต์ได้เป็นอย่างดี แทบจะเหมาะสมที่สุด เพราะประสิทธิภาพสูง ความคลาดเคลื่อนต่ำ 

ปัจจัยที่มีผลต่ออายุขัยของมอเตอร์ EV 
1. แรงบิด และความเร็ว ที่เหมาะสมกับมอเตอร์
แรงบิดนั้น ส่งผลโดยตรงต่อ อายุขัย หรือ ความเสื่อมของ มอเตอร์อย่างมาก สิ่งแรกคือ หากแรงบิดอยู่ภายในเกณฑ์ที่มอเตอร์กำหนด  มันจะสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น น่าเชื่อถือ และคุ้มค่า แต่ถ้าแรงบิดมากเกินไป มันย่อมหมายความว่า จะมีการโหลดของมอเตอร์ (หากคุณนึกไม่ออก ลองเอาเครื่องปั่นผลไม้ ไปปั่นอะไรที่ยากๆ เป็นเวลานานๆ มอเตอร์จะโหลดและเสียทันที)

ดังนั้น เราแนะนำให้ อย่าสร้างแรงบิดให้กับมอเตอร์โดยไร้เหตุล ก็จะสามารถยืดอายุการใช้งานออกไปได้ 

2. คุณภาพ และความเสถียรของไฟฟ้าที่จ่ายเข้ามอเตอร์
คุณภาพของไฟที่ป้อนให้มอเตอร์ และ ความเสถียรของไฟฟ้านั้น สำคัญต่อมอเตอร์ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะกระแส และแรงดันที่ไม่เสถียร์ หรือไม่ได้คุณภาพ มันจะทำให้ ขดลวดไหม้ได้ โดยเฉพาะหากไปสร้างอุณหภูมิที่สูงขึ้ันอย่างรวดเร็ว การกระชากไฟของไฟฟ้าแรงดันสูงนั้น อาจทำให้ฉนวนต่างๆ เสียหายอีกด้วย

ไฟฟ้าที่ไม่ได้คุณภาพนั้น จะก่อปัญหาหลายด้าน ไม่ว่าจะมอเตอร์เสีย หรือ เสื่อมอย่างรวดเร็ว  รวมไปถึงทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

3. การดูแลที่ไม่เหมาะสม
การปล่อยให้มีสารเคมี หรือสิ่งสกปรก ไปเกาะติดขดลวดเป็นระยะเวลานานๆ ถือเป็นสาเหตุต้นๆ ที่ทำให้ลูกปืนเสื่อมสภพาอย่างรวดเร็ว นอกจากลูกปืนจะเสื่อมและสั่นสะเทือนมากยิ่งขึ้น จนไปก่อให้เกิดปัญหาอุณหภูมิขึ้นสูงอีกด้วย

อย่างที่บอกการปล่อยให้มอเตอร์ทำงานหนัก จะทำให้สารเคมีที่เคลือบขดลวดนั้น เสื่อมค่าอย่างรวดเร็ว และทำให้เกิดการช๊อตได้ 

การสึกหรอ และการสั่นสะเทือน น้นถือเป็นตัวบั่นทอนอายุขัยของมอเตอร์เลยทีเดียว

4. ความชื้นและอุณหภูมิ

บทสรุป

แม้ว่าปัจจัยที่ทำให้ อายุขัยของมอเตอร์ไฟฟ้านั้นจะมีอยู่จำนวนมาก แต่ในสภาวะทดสอบแล้วอายุมอเตอร์กลับมีอายุได้ยาวนานถึง 15-20 ปีเลยทีเดียวหรือวิ่งได้ไกลถึง 4 แสนไมล์ ขณะที่มีบางสำนักทดสอบผ่านหลัก 1 ล้านไมล์ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่า พวกเขาทดสอบในสภาวะการทดสอบเท่านั้น การใช้งานจริงนั้นอีกเรื่องหนึ่ง


วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2565

การเมืองไทย 101 : 2551 คดีพิศดาร เปิดพจนานุกรม ปลด นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช

คดีปลด นายกสมัคร สุนทรเวช



29 มกราคม 2551 ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ชื่อ  สมัคร สุนทรเวช โดยเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน  

แต่เพียงกี่เดือน คือ เดือนพฤษภาคม 2551 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา พร้อมคณะ ส.ว.ไปยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการจัดรายการโทรทัศน์ ชิมไป บ่นไป ทางช่อง 3 เป็นการผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน หรือไม่

โดย รัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ห้ามนายกฯ มีตำแหน่งใดๆ ในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์กรที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไร หรือ รายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็น ลูกจ้างของบุคคลใด หากมีการกระทำตามมาตรานี้ จะทำให้สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7)

ประเด็นลูกจ้าง
วันที่ 9 กันยายน 2551 ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดย นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย กรณี ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของ ส.ว.จำนวน 29 คน และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะผู้ร้องที่ 1-2 ตามลำดับ เพื่อขอให้วินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) และมาตรา 267 ประกอบ 182 วรรคสาม และมาตรา 91 กรณีการจัดรายการ “ชิมไปบ่นไป” และรายการ “ยกโขยงหกโมงเช้า” ดังนี้

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้อง คำชี้แจง การแก้ข้อกล่าวหา เอกสารประกอบ พยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และคำเบิกความจากพยานบุคคลแล้ว เห็นว่าคดีทั้ง 2 มีพยานหลักฐานที่เพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ โดยมีการกำหนดประเด็นที่พิจารณาวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรค 1 (7) ประกอบมาตรา 267 เพราะเหตุผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งใดในบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่มุ่งหาผลประโยชน์ กำไร หรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบริษัทดังกล่าวหรือไม่

มีปัญหาประการแรกที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องเป็นลูกจ้างของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัดหรือไม่?

พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ซึ่งบัญญัติห้ามนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นลูกจ้างของบุคคลใด เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นไปโดยชอบ ป้องกันมิให้เกิดการกระทำที่เกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ อันจะก่อให้เกิดสถานการณ์ขาดจริยธรรมซึ่งยากในการตัดสินใจทำให้ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์สาธารณะ เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์สาธารณะ ฐานขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ จึงขัดกันในลักษณะที่ประโยชน์ส่วนตัว จะได้มาจากการเสียไปซึ่งประโยชน์สาธารณะ

การทำให้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวบรรลุผล จึงไม่ใช่แปลความคำว่า “ลูกจ้าง” ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 เพียงหมายถึงลูกจ้างตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือตามกฎหมายภาษีอากรเท่านั้น เพราะกฎหมายแต่ละฉบับย่อมมีเจตนารมณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งแตกต่างกันไปตามเหตุผล และการบัญญัติกฎหมายนั้นๆ

ทั้งกฎหมายดังกล่าวก็ยังมีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ และยังมีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันการกระทำที่เป็นการกระทำขัดกันแห่งผลประโยชน์แตกต่างจากกฎหมายดังกล่าวอีกด้วย

อนึ่ง รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์การปกครองประเทศ เนื่องจากตั้งรับรองสถานะของสถาบันและสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กำหนดพื้นฐานการดำเนินการของรัฐ เพื่อให้รัฐได้ใช้เป็นหลักใช้ปรับกับสภาวการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้องตามเจตนารมณ์

ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ตัดสินให้นายสมัครพ้นจากตำแหน่ง ในวันที่ 9 กันยายน ปีเดียวกัน
ดังนั้น คำว่า ลูกจ้างตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 จึงมีความหมายกว้างกว่าคำนิยามของกฎหมายอื่น โดยต้องแปลตามความหมายทั่วไป ซึ่งตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของคำว่าลูกจ้างว่า หมายถึงผู้รับจ้างทำการงานผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยได้รับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร โดยมิคำนึงถึงว่าจะมีการทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ หรือได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง สินจ้าง หรือค่าตอบแทนในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินอย่างอื่น หากมีการตกลงเป็นผู้รับจ้างทำการงานแล้ว ย่อมอยู่ในความหมายของคำว่าลูกจ้าง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ทั้งสิ้น

มิฉะนั้นผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ที่รับจ้างรับค่าจ้างเป็นรายเดือนในลักษณะสัญญาจ้างแรงงาน เมื่อได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีก็สามารถทำงานต่อไปได้ โดยเปลี่ยนค่าตอบแทนจากค่าจ้างรายเดือน มาเป็นสินจ้างตามการทำงานที่ทำ เช่น แพทย์เปลี่ยนจากเงินเดือนมาเป็นค่ารักษาตามจำนวนคนไข้ ที่ปรึกษากฎหมายก็เปลี่ยนจากเงินเดือนมาเป็นค่าปรึกษาหรือค่าทำความเห็นมาเป็นรายครั้ง ซึ่งก็ยังผูกพันกันในเชิงผลประโยชน์กันอยู่ระหว่างเจ้าของกิจการกับผู้ที่รับทำงานให้ เห็นได้ชัดเจนว่ากฎหมายย่อมไม่มีเจตนารมณ์ให้หาช่องทางหลีกเลี่ยงให้ทำได้โดยง่าย

ข้อเท็จจริงได้จากการไต่สวนผู้ถูกร้อง หลังจากผู้ถูกร้องเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ผู้ถูกร้องยังเป็นพิธีกรในรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยงหกโมงเช้า” ให้กับ บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เมื่อพิเคราะห์ถึงลักษณะกิจการงานที่บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ได้กระทำร่วมกันกับผู้ถูกร้องมาโดยตลอดเป็นเวลาหลายปี โดยบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เพื่อมุ่งค้าหากำไร ไม่ใช่เพื่อการกุศลสาธารณะ และผู้ถูกร้องได้รับค่าตอบแทนอย่างสมฐานะ และภารกิจเมื่อได้กระทำในระหว่างที่ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี จึงเป็นการกระทำและนิติสัมพันธ์ที่อยู่ในขอบข่ายที่มาตรา 267 ประสงค์จะป้องปรามเพื่อไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนกับภาคธุรกิจเอกชนแล้ว

ทั้งยังปรากฏจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้ถูกร้องในหนังสือ “สกุลไทย” ฉบับที่ 47 ประจำวันอังคารที่ 23 ตุลาคม 2544 หน้า 37 อีกด้วยว่า การทำหน้าที่พิธีกรกิตติมศักดิ์รายการโทรทัศน์ “ชิมไปบ่นไป” ที่ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 10.30-11.00 น. ทางสถานีไอทีวี ผลิตรายการโดยบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัดนั้น ผู้ถูกร้องได้รับเงินเดือนจากบริษัทเดือนละ 8 หมื่นบาท

สำหรับหนังสือของ นายศักดิ์ชัย แก้ววรรณีสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ที่มีถึงผู้ถูกร้องลงวันที่ 15 ธันวาคม 2550 ปรึกษาว่าผู้ถูกร้องจะดำเนินการอย่างไรในการเป็นพิธีกรรับเชิญในรายการ “ชิมไปบ่นไป” และหนังสือของผู้ถูกร้องมีถึงนายศักดิ์ชัย ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2550 แจ้งว่าผู้ถูกร้องจะทำให้เปล่าๆ โดยไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนเป็นค่าน้ำมันรถเหมือนอย่างเคยนั้น ผู้ถูกร้องไม่เคยแสดงหนังสือทั้ง 2 ฉบับนี้มาก่อนจะถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งเรียกให้ชี้แจง โดยผู้ถูกร้องชี้แจงเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 และยังคงยืนยันเสมือนว่า ก่อนเดือนธันวาคม 2550 ผู้ถูกร้องได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าน้ำมันรถเท่านั้น

ซึ่งขัดแย้งกับคำเบิกความของนางดาริกา รุ่งโรจน์ พนักงานบัญชีของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด และหลักฐานทางภาษีอากรดังกล่าวข้างต้น ที่ว่าก่อนหน้านั้นผู้ถูกร้องได้รับค่าจ้างแสดง ไม่ใช่ค่าน้ำมันรถ อันเป็นข้อพิรุธ ส่อแสดงว่าเป็นการทำหลักฐานย้อนหลัง เพื่อปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าตอบแทนของผู้ถูกร้อง ทั้งผู้ถูกร้องเองเบิกความว่าผู้ถูกร้องไม่ได้รับค่าน้ำมันรถ และค่าใช้จ่าย น่าจะเป็นการนำเงินไปให้คนขับรถมากกว่า ก็ขัดแย้งกับคำชี้แจงของผู้ถูกร้อง ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ที่ให้การว่า การที่ผู้ถูกร้องได้รับเชิญไปในรายการ “ชิมไปบ่นไป” น่าจะได้รับค่าพาหนะ โดยค่าพาหนะจะได้รับเฉพาะเมื่อไดไปออกรายการเท่านั้น ถ้าไม่ไปออกรายการตามที่เชิญมากก็ไม่ได้รับค่าพาหนะ จึงรับฟังเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้

พยานหลักฐานทั้งหมดมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องทำหน้าที่พิธีกรในรายการ “ชิมไปบ่นไป” หลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยผู้ถูกร้องยังคงได้รับค่าตอบแทนที่มีลักษณะเป็นทรัพย์สินจากบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องเป็นพิธีกรให้แก่บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด จึงเป็นการรับจ้างการทำงานตามความหมายของคำว่า “ลูกจ้าง” ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 แล้ว กรณีถือได้ว่าผู้ถูกร้องเป็นลูกจ้างของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องจึงสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7

อนึ่ง มีตุลาการรัฐธรรมนูญ 6 คน เห็นว่าผู้ถูกร้องเป็นลูกจ้างของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในปัญหาว่าผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งใดในบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัดหรือไม่อีก

ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 3 คน เห็นว่าการเป็นพิธีกร การใช้ชื่อรายการ “ชิมไปบ่นไป” และใช้รูปใบหน้าของผู้ถูกร้องในรายการของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันพึงได้แก่กิจการที่ทำนั้น ในลักษณะที่เป็นหุ้นส่วนร่วมกัน ดังนั้น การกระทำของผู้ถูกร้องให้แก่บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด จึงเป็นการดำรงตำแหน่งในห้างหุ้นส่วน โดยมุ่งหาผลกำไร หรือรายได้มาแบ่งปันกัน และไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาว่า ผู้ถูกร้องเป็นลูกจ้างบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 หรือไม่อีก

อาศัยเหตุผลข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ จึงวินิจฉัยว่าผู้ถูกร้องกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 มีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้องกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว

เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 จึงเป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคหนึ่ง (1) แต่ด้วยความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีเป็นการสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ทำให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่เหลือ จึงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181

สรุปให้เข้าใจง่ายดังนี้นะครับ
1. รัฐธรรมนูญ ระบุ นายกรัฐมนตรี ห้ามเป็นลูกจ้าง ของบุคคลใด  จึงโดน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นตีความตามศาลรัฐธรรมนูญ
2. ทนายฝ่ายจำเลย ยืนยันว่า นายสมัคร สุนทรเวช  ไม่ได้เป็น ลูกจ้าง ตามนิยามของ  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ประมาณว่า ต้องรับเงินเป็นประจำ เช่นเงินรายวัน รายเดือน รายปี แต่นายสมัครรับตามงาน)
3. ผู้พิพากษา อ้างอิง นิยาม คำว่า ลูกจ้าง ตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542  โดยอ้างว่า รัฐธรรมนูญ นั้น ต้องมีความหมายกว้างกว่า และมีศักดิ์กฎหมายสูงกว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
4. ปลดนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช  แต่ประชาชนต่างล้อกันว่า ศาลเปิดดิก เพื่อแปลความหมายกันเลยทีเดียว เพื่อปลดตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ในความผิดฐาน ทำกับข้าวออกโทรทัศน์ 

เป็นคดีที่สร้างความขุ่นมัวให้นายสมัคร และบ่นถึงเรื่องนี้มาตลอดอย่างต่อเนื่อง…


เสมือนสวมพระเครื่องอันเรื่องเวทย์

ประนมเดชมอบดวงใจให้ทุกสิ่ง

แต่องค์พระกลับล้วงเข้าช่วงชิง

จนได้รู้ความจริงอันเจ็บใจ

สิ่งที่สูงกลับต่ำนั้นตำเนตร

ใจสมัคร สุนทรเวชจึงหมองไหม้

เฝ้าจงรักภักดีมิรู้คลาย

ขอกัดฟันลาตาย……ไม่ถวายพระพร

กลอนบทนี้ มีการยืนยันแล้วว่า ไม่ใช่กลอนที่ จักรภพ เพ็ญแข แต่งขึ้น (เป็นคนละบทกลอนกัน)
แต่ก็ไม่มีการยืนยันว่า กลอนบทนี้ นายสมัคร สุนทรเวช แต่งกลอนนี้ก่อนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งขั้วตับแล้วยัดใส่มือภรรยาจริงหรือไม่เช่นกัน

เป็นที่รู้กันว่า นายสมัคร สุนทรเวช คือ ฝ่ายรอยัลลิสต์คนสำคัญช่วง ตุลาคม 2519 โดยเป็นถึง ผู้ถ่ายทอดพระราชประสงค์ของพระราชินี  เขาเสียชีวิต เมื่อวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ( ระยะเวลาเพียง 1 ปีเศษหลังจากเขาถูกศาลตัดสินให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี )


การเมืองไทย101 : 2494 กบฎแมนฮัตตัน บุกจับตัว นายกรัฐมนตรี

กบฏแมนฮัตตัน 

กบฎแมนฮัตตัน  ชื่อเรียกเหตุการณ์การก่อการกบฏในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เมื่อทหารเรือกลุ่มหนึ่ง เรียกตัวเองว่า "คณะกู้ชาติ" นำโดย น.ต.มนัส จารุภา ร.น.ผู้บังคับการเรือหลวงรัตนโกสินทร์ พลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ นายทหารนอกราชการ อดีตผู้บังคับการกรมนาวิกโยธิน ทำการก่อกบฏจี้ตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ระหว่างเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือขุดสันดอนสัญชาติอเมริกัน ชื่อ "แมนฮัตตัน" ที่ท่าเรือ ราชวรดิฐ โดยนำไปกักขังไว้ในเรือรบหลวงชื่อ "ศรีอยุธยา" ที่จอดรออยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา

เชื่อกันว่า กบฎนี้ น่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากปรีดี พนมยงค์ เนื่องจาก เพิ่งก่อกบฎวังหลวง ที่เป็นทหารเรือที่ก่อกบฎเช่นกัน แต่ทหารอย่าง น.ต. มนัส จารุภา ก็ยืนยันว่า การก่อกบฎครั้งนี้ ไม่มีใครสนับสนุน

ซึ่งก่อนหน้านี้ คณะผู้ก่อการกบฎ คิดจะก่อการในลักษณะเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่สบจังหวะที่เหมาะสม จึงได้แต่เลื่อนออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลาลงมือจริง หลายฝ่ายที่ถูกชักชวนให้ลงมือก็คาดว่าจะต้องมีการเลื่อนอีกแน่นอน จึงมิได้ปฏิบัติการตามแผนที่วางไว้

เหตุที่เลือกเอาวันนี้เป็นวันลงมือ เพราะก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวัน มีการปล่อยกำลังทหารกองหนุนกลับสู่ภูมิภาค ทำให้จำนวนทหารในพระนครเหลือน้อย อีกทั้งพื้นที่บริเวณนี้ก็เป็นเขตของทหารเรือด้วย จึงลงมือได้ง่ายกว่า

เวลาลงมือ
เวลา 15.00 น. 29 มิถุนายน พ.ศ.2494 จอมพลป. พิบูลสงคราม มาเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือแมนฮัตตันที่ท่าราชวรดิฐ โดยผู้แทนฝ่ายอเมริกันได้พูดกล่าวมอบ เสร็จแล้วจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีกล่าวตอบทางเรือลดธงชาติอเมริกันลงจากเสา และชักธงชาติไทยขึ้น จากนั้นได้มีการเชิญนายกรัฐมนตรีก็ขึ้นไปชมเรือ แผนการจึงเริ่มต้นขึ้น



น.ต.มนัส จารุภา ผู้ก่อการได้ออกคำสั่ง “หมู่รบตามข้าพเจ้าวิ่ง” นำทหารเรือวิ่งไปปิดสะพานบันไดขึ้นเรือห้ามมิให้ผู้ใดผ่าน ถ้าฝ่าฝืนจะยิงทันที น.ต.มนัสเข้าจี้ตัวจอมพลป.พิบูลสงคราม พร้อมประกาศว่า “เราต้องการแต่ตัวท่านจอมพล คนอื่นไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป ขอเชิญท่านจอมพลทางนี้” จากนั้นได้พาตัวจอมพลป.พิบูลสงคราม ลงเรือที่เตรียมไว้แล้วพาตัวไปคุมขังที่เรือหลวงศรีอยุธยา




ในเหตุการณ์กบฏ หัวหน้าคณะก่อการ คือ น.อ.อานนท์ ปุณฑริกาภา ร.น. สั่งการให้ทหารเรือกลุ่มที่สนับสนุนการก่อการมุ่งหน้าและตรึงกำลังไว้ที่พระนคร และประกาศตั้ง พระยาสารสาสน์ประพันธ์ (ชื้น จารุวัสตร์) ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม กระจายเสียงในฐานะนายกรัฐมนตรีจากในเรือ แต่ทางฝ่ายรัฐบาลไม่ยอม ได้กระจายเสียงตอบโต้ไปโดยใช้วิทยุของกรมการรักษาดินแดน (ร.ด.) โดยได้ให้ นายวรการบัญชา (บุญเกิด สุตันตานนท์) ประธานสภาผู้แทนราษฎร รักษาการนายกรัฐมนตรีแทน และตั้งกองบัญชาการขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล (ในขณะนั้นตั้งอยู่ที่  พระที่นั่งอนันตสมาคม ในปัจจุบัน) จึงเกิดการต่อสู้ยิงกันอย่างหนักระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลและทหารฝ่ายก่อการกบฎ

ซึ่งตามแผนการของผู้ก่อการแล้ว ฝ่ายก่อการกบฎ จะต้องยึดโรงไฟฟ้าและสถานีโทรศัพท์กลาง ที่หน้าวัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) ให้ได้ โดยเรือรบหลวงศรีอยุธยาจะต้องแล่นผ่านสะพานพระพุทธยอดฟ้า ซึ่งเปิดรอ เพื่อไปตั้งกองบัญชาการที่ฝั่งพระนคร และมีกำลังทหารจากต่างจังหวัดยกเข้ามาสมทบทั้งทหารเรือและทหารบก แต่เมื่อลงมือจริง ๆ แล้วกลับไม่เป็นไปตามนั้น

แต่ สะพานพระพุทธยอดฟ้า กลับไม่เปิด และในที่สุดเครื่องยนต์เรือก็เสียจากการถูกโจมตีหนัก โดยในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ใช้อำนาจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้ใช้กำลังทหารเพื่อปราบจลาจลครั้งนี้

วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เวลา 10.00 น. มีพระบรมราชโองการประกาศกฎอัยการศึกในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี โดยผ่านพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร นับว่าเป็นการใช้กฎอัยการศึกครั้งแรกในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมี นายวรการบัญชา รักษาการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

ในส่วนของกองบัญชาการฝ่ายรัฐบาลที่ตั้งขึ้น ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ฝ่ายกองทัพเรือ โดย พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ส่งผู้แทนหลายคนเข้าพบนายทหารบกชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชการระดับสูงของทางรัฐบาล เพื่อยืนยันว่า กรณีนี้ทางฝ่ายทหารเรือส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย เป็นเพียงการกระทำการของนายทหารชั้นผู้น้อยไม่กี่นายเท่านั้น เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดกันระหว่างกองทัพ

แต่กระนั้น ทาง พล.อ.ผิน ชุณหะวัณ ผู้บัญชาการทหารบก รวมถึง พล.ท.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 1 ยืนยันว่า การกระทำเช่นนี้นับว่าอุกอาจมาก เพราะเป็นการกระทำต่อหน้าทูตต่างชาติหลายประเทศ รวมทั้งจะให้ทางฝ่ายทหารเรือแอบขึ้นเรือรบหลวงศรีอยุธยาในยามวิกาลเพื่อบุกชิงตัวจอมพล ป. กลับคืนมาให้ได้ภายในเวลา 05.00 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 ไม่เช่นนั้นจะยิงทุกจุดที่มีทหารเรืออยู่ เพราะถือว่าเป็นการถ่วงเวลาเพื่อรอกำลังฝ่ายกบฏมาสมทบ แต่ทางฝ่ายทหารเรือไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น โดยให้เหตุผลว่าหากทำเช่นนั้น เกรงว่าจอมพล ป. จะได้รับอันตรายได้

การสู้รบเกิดขึ้นเมื่อเวลา 04.30 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เริ่มจากฝ่ายรัฐบาล โดยกองทัพบกภายใต้การนำของ พลโท สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กองทัพอากาศภายใต้การบัญชาของพลอากาศเอก ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี และกำลังตำรวจโดยพลตำรวจโท เผ่า ศรียานนท์ การสู้รบแพร่ขยายไปวงกว้าง ทหารบกเริ่มโจมตีจากด้านพระนคร กองทัพอากาศเริ่มทิ้งระเบิดที่กรมอู่ทหารเรือ และตำแหน่งคลังเชื้อเพลิง

เรือจม
ในที่สุดมีการทิ้งระเบิดขนาด 50 กก. จากเครื่องบินแบบ Spitfire และ T6 ใส่เรือรบหลวงศรีอยุธยาที่อยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ลูกระเบิดดังกล่าวทะลุดาดฟ้าลงไประเบิดในคลังกระสุนใต้ท้องเรือ

ความจริงแล้ว ลูกระเบิดขนาด 50 กิโลกรัมนั้น ไม่สามารถจมเรือขนาด 2,000 ตันลงได้ เพราะถ้าเป็นระเบิดปกติ ระเบิดจะไปกระทบดาดฟ้าทำให้ระเบิดที่ดาดฟ้าเรือและเกิดเพลิงไหม้เพียงดาดฟ้าเรือเท่าน้้น แต่เมื่อระเบิดด้าน ทำให้มันทะลุหลังคาดาดฟ้าลงไประเบิดที่ด้านล่างแทน ที่มีกระสุนของเรือเก็บไว้ที่นั่น ทำให้ระเบิดกันใหญ่ และทำให้เรือรบศรีอยุธยาทะลุ และจมลงน้ำในที่สุด

จึงจนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เรือก็จม และในเวลา 17.00 เรือหลวงคำรณสินธุ์ ซึ่งทำหน้าที่คุ้มครองคลังน้ำมันอยู่ที่บริเวณกรมอู่ทหารเรืออับปางลงอีกลำหนึ่ง

ส่วนกรมอู่ทหารเรือไฟไหม้เสียหายทั้งหมด จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกทหารเรือที่อยู่บนเรือสวมเสื้อชูชีพนำว่ายน้ำหลบหนีออกมาได้ ที่สุดทั้งฝ่ายกบฏและรัฐบาลเปิดการเจรจากัน ฝ่ายกบฏได้ปล่อยตัวจอมพล ป. ให้กับฝ่ายรัฐบาล โดยผ่านทางทหารเรือด้วยกัน ซึ่ง พล.ร.อ.สินธุ์ ก็ได้นำตัวคืนสู่วังปารุสกวัน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันนั้น

ต่อมาในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 22 และกระทรวงกลาโหมได้มีประกาศและคำสั่ง ให้
หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) ผู้บัญชาการทหารเรือ
พลเรือโท หลวงเจริญราชนาวา (เจริญ ทุมมานนท์) รองผู้บัญชาการทหารเรือ
พลเรือโท ผัน นาวาวิจิต ผู้บัญชาการกองเรือรบ
พลเรือตรี ชลิต กุลกำม์ธร รองผู้บัญชาการกองเรือรบ
พลเรือตรี กนก นพคุณ ผู้บังคับการมณฑลทหารเรือที่ 1
พลเรือตรี ประวิศ ศรีพิพัฒน์ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ
พลเรือตรี ดัด บุนนาค เจ้ากรมสรรพาวุธทหารเรือ
พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์ รองเสนาธิการทหารเรือฝ่ายยุทธการ
พลเรือตรี ชลี สินธุโสภณ ผู้บังคับการกองสัญญาณทหารเรือ
และ พลเรือตรี สงวน รุจิราภา นายแพทย์ใหญ่ทหารเรือ ถูกพักราชการและปลดออกจากตำแหน่ง

และในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบกองทัพเรือในกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2494 ต่อมาในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2494 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกเลิกกฎอัยการศึกในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี ในวันที่ โดยผ่านพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร และในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 คณะบริหารประเทศชั่วคราวก่อ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2494 และได้แต่งตั้ง พลตำรวจโท เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เป็นผู้รักษาความสงบทั่วราชอาณาจักรเป็นอันสิ้นสุดเหตุการณ์

ส่วนที่เหลือ
ในส่วนของผู้ก่อการได้ถูกบีบบังคับให้ขึ้นรถไฟไปทางภาคเหนือ จากนั้นจึงแยกย้ายกันหลบหนีข้ามพรมแดนไปพม่าและสิงคโปร์ ในส่วนของ น.ต.มนัส จารุภา ร.น. ผู้ทำการจี้จอมพล ป. ได้หลบหนีไปพม่าได้สำเร็จ แต่ถูกจับกุมได้หลังจากลักลอบกลับเข้าประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2495

โดยการกบฏครั้งนี้นับว่าเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เพราะสถานที่ต่าง ๆ เสียหาย และมีผู้บาดเจ็บล้มตายนับร้อยทั้งทหารของทั้ง 2 ฝ่าย รวมถึงประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เฉพาะผู้เสียชีวิตมีจำนวนประมาณ 187 ราย แบ่งเป็นประชาชน 118 ราย ทหารเรือ 43 ราย ทหารบก 17 ราย และ ตำรวจ 9 ราย นับเป็นเหตุการณ์สงครามกลางเมืองที่คนไทยฆ่าคนไทยมากที่สุดจวบจนปัจจุบัน

การจับกุมกบฎ
การดำเนินคดีมีการจับกุมผู้ต้องหาร่วม 1,000 คน ซึ่งควบคุมตัวไว้ที่สนามกีฬาแห่งชาติ เนื่องจากมีจำนวนมาก ในที่สุดก็ต้องปล่อยตัวเพราะหาหลักฐานไม่เพียงพอจนเหลือฟ้องศาลประมาณ 100 คน ภายหลังนักโทษคดีนี้ส่วนใหญ่ได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2500 เนื่องในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ ในส่วนของกองทัพเรือ แม้ทหารที่ก่อการกบฎจะไม่ใช่ทหารระดับสูงและทหารเรือส่วนใหญ่ก็ไม่เกี่ยวข้องด้วย กระนั้น พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ และนายทหารเรือระดับสูงหลายคน ก็ยังต้องโทษตัดสินจำคุกนานถึง 3 ปี โดยที่ไม่มีความผิด และได้มีการปรับลดอัตรากำลังพลของกองทัพเรือลงไปมาก เพราะถือเป็นความพยายามก่อรัฐประหารเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันของทหารเรือ ต่อจากกบฏวังหลวง ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นเพียง 2 ปี








สัมปทาน หรือสัมปเวสีจะทาน : คดีพิศดาร ยื่นซองไม่ทัน แต่ชนะการประมูลที่สนามบินอู่ตะเภา

คดีพิศดาร ยื่นไม่ทัน แต่ชนะประมูล


โครงการพัฒนาสนามบิน อู่ตะเภามูลค่า 2.9 แสนล้านบาท
สาระสำคัญ คือ การพัฒนา สนามบินอู่ตะเภา ให้เป็นเมืองการบิน เพื่อรองรับ การขยายตัวของ EEC ในอนาคต ซึ่งก่อนหน้านี้ ซีพี ได้ลงนามโครงการ”รถไฟความเร็วสูง” ไปแล้ว ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมมูลค่า 2 แสน9 หมื่นล้านบาท โดยโครงการนี้จะเป็นการสร้าง Terminal 3 ศูนย์ธุรกิจการค้า การขนส่ง การซ่อมบำรุงเครื่องบิน และฝึกอบรมบุคคลากร และ Free Trade Zone


21
มีนาคม 2562
คณะกรรมการคัดเลือกเปิดให้เอกชนที่สนใจ ยื่นซองประมูล ที่กองบัญชาการทหารเรือ โดยมีเอกชน 3 รายเข้าร่วมประมูลดังนี้

กลุ่ม ธนโฮลดิ้ง คือ บริษัทในเครือซีพี รวมกับพันธมิตร อิตาเลียนไทย ดีเวปล้อปเม้นท์ ช. การช่าง บีกริม จอยน์เวนเจอร์ โอเรียนท์ ซัคเซส อินเตอร์เนชั่นแนล

อีก2 กลุ่มคือ บีบีเอส มี การบินกรุงเทพ ของ นายแพทย์ ปราเสริฐ ประสาททองโอสถ
และ กลุ่ม BTS (คีรี กาญจนพาสน์) และ ซิโนไทย (เจ้าของคือ ชวรัตน์ ชาญวีระกุล บิดาของ อนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในขณะนั้น) และ แกรนด์ คอนซอร์เทียม (พร้อพเพอร์ตี้เฟอร์เฟค คริสเตียนแอนด์นีลเส้น ไทยแอร์เอเชีย)

เหตุการณ์วันนั้น
วันนั้น กลุ่มธนโฮลดิ้ง ไปถึงก่อน และลงทะเบียนเวลา 12.20 . แต่เอกสารยังไม่ครบ นำมาเพียง 9 กล่อง จากทั้งหมด 11 กล่อง ต่อมา บีทีเอส มาถึงเวลา 12.59 . ยื่นเอกสารทั้งหมดในเวลา 14.21 . และกลุ่มแกรนด์คอนซอร์เทียม มาถึงเวลา 13.19 . ยื่นเอกสารทั้งหมดในเวลา 14.10 .

ประเด็นคือ กลุ่ม ธนโฮลดิ้ง ยื่นเอกสารเพียงแค่บางส่วนในเวลา 15.09 . ล่าช้ากว่ากำหนดปิดการยื่นซองประมูลใน เวลา 15.00 . ทำให้คณะกรรมการไม่รับพิจารณาเอกสารดังกล่าว นำไปสู่การฟ้องศาลปกครองสูงสุด

15
ตุลาคม 2562 คณะกรรมการคัดเลือกโครงการพัฒนาสนานบิน อู่ตะเภา และเมืองการบิน ให้กลุ่ม บีบีเอส ประกอบไปด้วย บางกอกแอร์เวย์ บีทีเอส และ ซิโนไทย เอ็นจิเนียริ่ง ชนะการประมูล

18.
ตุลาคม 2562 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของคณะกรรมการคัดเลือกของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ในส่วนที่ปฏิเสธไม่รับข้อเสนอ ซองที่ 2 ข้อเสนอด้านเทคนิคและแผนธุรกิจ และซองข้อเสนอด้านราคา ของกลุ่มกิจการค้าร่วมบริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา

7
พฤศจิกายน 2562 กลุ่ม ซีพี ฟ้องคณะกรรมการคัดเลือก กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณี มีมติไม่รับซองข้อเสนอ 2 กล่อง โดยอ้างว่า ยื่นหลังเวลา 15.00 ไป 9 นาที

10
มกราคม 2563 ศาลปกครองสูงสุด ใช้เวลาพิจารณาคดี 1 ชั่วโมง มีคำสั่งพิพากษา เพิกถอน มติคณะกรรมการคัดเลือกโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ที่ไม่รับซองข้อเสนอ ทางเทคนิค และข้อเสนอด้านราคา ของบริษัท ธนโฮลดิ้ง

โดยพิจารณา ข้อกำหนดเกี่ยวกับการยื่อนเอกสารคัดเลือก ตาม
ข้อ 31 (1) ที่กำหนดวันเวลาในการรับและปิดรับซองข้อเสนอ
ข้อ 31(3) กำหนดว่าจะไม่รับซองเอกสาร หลากยื่นภายหลังเวลาที่กำหนด ในข้อที่ระบุไว้ในข้อ 31 (1)

โดยศาลอ้างว่า แม้กำหนดต่างๆ ในเอกสารคัดเลือกเอกชน จะเป็นหลักเกณฑ์สำคัญ แต่ข้อเสนออื่นๆ ก็กำหนดไว้เช่นกัน และทั้ง 5 ก็แจ้งความประสงค์จะเข้าร่วมยื่นข้อเสนอ โดยมีการนำเสนอกล่องมาบรรจุข้อเสนอ 8 กล่องไว้แล้ว ก่อนเวลาด้วย แต่ กล่องที่ 6 ของซองที่ 2 และกล่องที่ 9 ของซองที่ 3 มีการขนผ่านจุดลงทะเบียนภายหลังเวลา 15.00 . เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีไม่รับซองข้อเสนอดังกล่าว

ศาลพิจารณาว่า กระบวนการพิจารณา เริ่มขึ้นเวลา 15.00 -18.00 . โดยเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดี ได้ปฎิบัติเช่นเดียวกันแก่ผู้ยื่นข้อเสนอทุกราย และตามเอกสารหลักฐานดังกล่าว ก็กำหนดให้ลง “ เวลาที่มายื่น ลงทะเบียน: ในเวลา 12.20 .


20
มกราคม 2563 ในที่สุด กลุ่ม BBS ก็คว้าชัยชนะในการประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน ตะวันออก มูลค่า 2.9 แสนล้านบาท ด้วยการเสนอให้ผลตอบแทนรัฐ 50 ปีสูงสุด 3.01 แสนล้านบาท ขณะที่กลุ่มธนโฮลดิ้งเสนอเพียง 1 แสนล้านบาท

19
มิถุนายน 2563 จนในที่สุด ก็มีการเซ็นสัญญาในวันดังกล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2565

สัมปทาน หรือสัมปเวสีจะทาน : รถไฟฟ้า สายสีเขียว หรือ สาย BTS

รถไฟฟ้า กรุงเทพ 

จำลอง ศรีเมือง 
ถือเป็นจุดเริ่มต้นแนวคิดจาก พลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่เป็นผู้ว่า กรุงเทพมหานคร  ครั้งแรก กลุ่มธนายง ของคีรีกาญจนพาสน์ ชนะการประมูลได้สัมปทานสร้างและจัดการเดินรถไฟฟ้า 30 ปี เริ่มต้นในปี 2542 -2572

ดังนั้น กลุ่มธนายงจึงก่อตั้งบริษัทย่อยในชื่อบริษัท ขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (BTSC) เพื่อเซ็นสัญญากับกทม.ในวันที่ 9 เมษายน 2535 สัญญานี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท (หมอชิต-อ่อนนุช) และสีลม (สนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน) รวม 23.5 กิโลเมตร  แม้จะเป็นเงินลงทุนทั้งหมดของ ธนายง แต่ กทม ต้องจัดหาที่ดิน และ ยกเว้นภาษีเงินได้ ให้ BTSC เป็นระยะเวลา 8 ปี 

และสร้างเสร็จ และเริ่มเดินรถครั้งแรกในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 ซึ่งถือว่า เป็นการนับเวลาเริ่มต้นสัมปทาน นั้นคืออายุสัมปทานจะไปสิ้นสุดในปี พ.ศ.2572 

อภิรักษ์ โกษะโยธิน 
เมื่อมีการเปลี่ยนผู้ว่า กรุงเทพเป็น อภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์  ก็เริ่มมีแนวคิดสร้างส่วนต่อขยาย ระยะทาง  2.2 กิโลเมตรระหว่าง สถานีตากสิน - วงเวียนใหญ่  โดยความจริงแล้ว แนวคิดนี้ เริ่มตั้งแต่ ยุคสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่า กทม เป็นคนต้นคิด แต่เนื่องจากระยะทางที่สั้นเกินไปทำให้ถูกพิจารณาว่า มันไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

แต่แล้ว ในปี 2548 โดยผู้ว่า อภิรักษ์ โกษะโยธิน ก็ตัดสินให้  กทม  ลงทุนสร้างส่วนต่อขยายเองทั้งหมด และจ้าง บริษัท วิสาหกิจของกทม เอง คือ บริษัท กรุงเทพธนาคม เป็นผู้จัดหารถมาวิ่ง  นั่นคือ ไปจ้าง บริษัทลูกของธนายง ที่ชื่อ BTSC อีกทอดหนึ่ง 

สรุปง่ายๆ คือ กทม สร้างส่วนขยาย แต่จ้าง BTSC วิ่งและเก็บเงิน นั่นคือ ซึ่งรายได้ ส่วนของ ตากสิน- วงเวียนใหญ่ ที่เปิดใช้ในปี 2552 และ ส่วนต่อ แบริ่ง สมุทรปราการ ที่เปิดในปี 2554 จะเข้ากระเป๋า กทม. โดยตรงทั้งหมด 

สุขุมพันธ์ บริพัตร
ในปี 2555 ผู้ว่า มรว. สุขุมพันธ์ บริพัตร มีการเซ็นสัญญาใหม่ โดยให้ BTSC จะได้สิทธิการเดินรถและซ่อมบำรุงต่อไป 30 ปี ครอบคลุมเส้นทางเดิมคือ 23.5 กิโลเมตร และส่วนต่อขยายทั้งหมด  นั่นคือ บริษัท BTSC  จะเป็นผู้ดูแลรถไฟฟ้าบีทีเอส ไปจนถึงปี 2585  ถึงตอนนี้ สัมปทาน จะมีอายุถึง 43 ปีเข้าไปแล้ว

ยุคนั้น มีเสียงครหาว่า  สัมปทานเดิมจะหมดในปี 2572 เหลือระยะเวลาอีกตั้งหลายปี แต่ กทม. โดยผู้ว่า สุขุมพันธ์ บริพัตร กลับรีบต่อสัญญาสัมปทานต่อไปอีกตั้ง 30 ปี  กลายเป็นหมดในปี 2585 คดีนี้ค้างคาอยู่ใน ปปช. ยังไม่มีการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี ยังเกิดปัญหาขึ้นอีก เมื่อ ส่วนการขยาย (ถึงตอนนี้ ในเขต กทม. เริ่มมีรถไฟฟ้าหลายสาย เราจึงเรียกรถไฟฟ้าสายนี้ว่า สายสีเขียว) ก็เพิ่มส่วนต่อขยายไปด้านเหนือ คือ หมอชิต-สะพานใหม่ คูคต และ ด้านใต้ คือ แบริ่ง สมุทรปราการถูกต่อยาวออกไปอีก  ซึ่งรถไฟฟ้าที่ขยายครั้งสุดท้าย มันเลยเขตดูแลและอำนาจของ กทม. ไปแล้ว ทำให้รัฐบาลของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีมติ ให้ การรถไฟฟ้า ขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. เป็นผู้ก่อสร้างแทน 

แต่แล้วในปี 2559 รัฐบาลประยุทธ ที่ทำรัฐประหารเข้ามา ก็ตัดสินใจดึงงานท้้งหมด กลับมาอยู่ในมือของ กทม. อีกครั้ง ดังนั้น กทม จึงต้องรับโอนหนี้ทั้งหมดที่เป็นค่าก่อสร้างราว 6 หมื่นล้านบาท จาก รฟม. เกิดเป็นเสียงอื้ออึง ว่า ทำไมต้องเอาเงินคน กทม ไปอุ้ม คนจังหวัดอื่น 

ขยายอีกครั้ง
โดยสรุป คือ ระยะทางทั้งหมด ของสายสีเขียวยาวถึง 66.4 กิโลเมตร จากเดิมที่มีระยะทางแค่ 23.5 กิโลเมตร  ปัจจุบันมีการยื่นเรื่องเข้ามาขอขยายระยะเวลาออกไปอีกถึงปี พ.ศ. 2602 (เน้นอีกครั้งว่า ปี 2602) ดังนั้นนับจากเริ่มต้นในปี 2542 ระยะเวลาสัมปทานจะยาวนานถึง 60 ปี เต็มเลยทีเดียว 

แต่เนื่องจาก ปัญหายืดเยื้อ ระหว่างหนี้ที่ทางกทม กับ รฟม เกี่ยงกันจ่ายอยู่ ทาง BTS จะรับผิดชอบหนี้และทรัพย์สินทั้งหมด แต่รายได้ทั้งหมดทั้งส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 รายได้ทั้งหมดจะเป็นของ BTS แต่เพียงผู้เดียว โดยมีสิทธิปรับค่าโดยสารทุกๆ 2 ปี 

บทสรุป 
นี่เป็นอีกเคสหนึ่ง ที่เห็นว่า การไปยุ่งกับ สัญญาเก่านั้น รัฐมีโอกาสแพ้สูงมาก และเสียเปรียบเสมอ ทำให้ ประชาชนยากจนลงไปอีกตลอด 


ค่าโง่สัมปทาน สัญญาทาส : ดอนเมืองโทลเวย์

ค่าโง่ดอนเมืองโทลเวย์

ทางยกระดับอุตราภิมุข หรือ ชื่อเล่น คือ ดอนเมืองโทลเวย์ โดยวัตถุประสงค์หลักคือ การระบายการจราจร ระหว่างรังสิต และถนนพหลโยธิน โดยในตอนแรกมีแนวคิดที่จะแค่ขยายถนนเท่านั้น 

เรียงตาม TimeLine ดังนี้

1. ยุค นายกรัฐมนตรี ชาติชาย ชุณหวัณ
จุดเริ่มต้น คือ รัฐบาล ชาติชาติ ชุณหวัณ โดย มี นาย มนตรี พงษ์พานิช เป็น รัฐมนตรีคมนาคม เป็นผู้ลงนามเซ็นสัญญา กำหนดให้ ตอนเริ่มต้น คือ ให้เอกชนสร้าง และ ให้เอกชนเป็นผู้เก็บเงินทั้งหมด โดยเริ่มต้นสัญญาในปี 2532 อายุสัมปทานเพียง 25 ปี ดังนั้นจะไปสิ้นสุดในปี 2557

สัญญาเริ่มต้น เพียง ระยะทาง 15.4 กิโลเมตร  เริ่มต้นจุดเริ่มต้นจาก ดินแดงไปสิ้นสุดที่ ดอนเมือง
ค่าผ่านทาง กำหนดไว้แค่ 2 ช่วงคือ
ช่วงแรก (ปี 2534–2541) ระหว่าง 20–30 บาท
ช่วงที่ 2 (ปี 2541–2547) ในอัตรา 30–40 บาท

ประเด็นสำคัญคือ ในสัญญาระบุว่า หากรัฐบาลกระทำใดๆ อันทำให้ จำนวนยวดยานพาหนะลดลง แล้ว จะต้องชดเชยให้ด้วยการให้เพิ่มค่าธรรมเนียม หรือ ขยายอายุสัมปทาน ได้ 

ผู้ประมูลได้ คือ  บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด

2. รัฐบาลอานันท์ ปัญญารชุน
แต่แล้ว ในปี 2535  รัฐบาลอานันท์ปัญญารชุน อนุมัติให้สร้างส่วนต่อขยายระยะทางจากดอนเมืองไปถึง อนุสรณ์สถาน

แลกกับการที่  รัฐบาลไทย ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ ทางเชื่อมยกระดับ หรือ Loop Ramp คือ บริเวณหลักสี่ และบางเขนได้ทัน

3. ชวน หลีกภัย 
ปี 2539 บริษัทอ้างข้อหาเดิม คือ รัฐบาลส่งมอบพื้นที่ให้ไม่ได้ จึงขอแก้ไขสัญญาอีกครั้ง แต่ช่วงนั้น อยู่ระหว่างเจรจากันเท่านั้น

4. บรรหาร ศิลปอาชา
ต่อมารัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา ที่มี นาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้แก้ไขสัญญาลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 ให้เอกชนลงทุนขยายเส้นทางไปถึง หน้ากองทัพอากาศ  และยกเชื่อมต่อกับสนามบินดอนเมือง  ประเด็นนี้ ทำให้ต้องต่ออายุสัมปทานเพิ่มไปอีก 7 ปี จากเดิมที่ปี พ.ศ. 2557 กลับไปสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2564  แทน และยังปรับเพดานสูงสุดเดิมที่กำหนดไว้แค่ 30 บาท กลายเป็น 80 บาท และช่วงอนุสรณ์สถานเป็นราคา 15-35 บาท เท่ากับว่า ตอนนี้ อายุสัมปทานขยายไปเป็น 32 ปีแล้ว

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเป็นคนจัดหาเงินกู้ ให้บริษัทอีกจำนวน 8,500 ล้านบาท และบริษัทต้องเพิ่มทุนอีก 4,522 ล้านบาท โดยให้รัฐบาลซื้อหุ้นเพิ่มทุน 3,000 ล้านบาท และหากบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว รัฐบาลต้องขายหุ้นคืนให้ถือครองได้ไมเ่กิน 25 เปอร์เซนต์อีกด้วย

กรณีนี้ มีการแก้ไขสัญญา เนื่องจาก มีการอ้างว่า รัฐบาลส่งมอบพื้นที่ให้ไม่ทันภายในเดือนธันวาคม 2538 เนื่องจาก มีการลงนามขยายระยะทางจากดอนเมืองไปถึงอนุสรณ์สถาน

5. ชวน หลักภัย 2
ปี 2542 ปีนี้จะต้องมี การขึ้นค่าทางด่วนอีกครั้ง ทำให้ มีแก้สัญญาและเปลี่ยนวิธีเก็บเงินใหม่ มาเป็นแบบรวมเก็บเงินท้้งสองส่วน รวมเป็นเงินก้อนเดียว โดยรวมเก็บเงินเป็น 55 บาทแทน และปี 2547 จะต้องปรับเป็น 80 บาท 

6. ทักษิณ ชินวัตร
ในปี 2547 ที่จะต้องปรับค่าโดยสารขึ้นเป็น 80 บาท แต่รัฐบาลทักษิณ แทรกแซงราคาไม่อนุมัติให้ปรับราคาขึ้น และยังใช้อำนาจ ให้ปรับลดอีกด้วยซ้ำ ดังนี้

ปี 2548 ปรับลดราคาลงเหลือ 20 บาทตลอดสาย 
ปี 2549-2550 เก็บ 30 บาทตลอดสาย
ปี 2551-2552 เก็บ 35 บาทตลอดสาย

7. รัฐบาลรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ 
ต่อมารัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ทำรัฐประหารเข้ามา มี พล.ร.อ ธีระ ห้าวเจริญ  เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีมติ ขายหุ้น บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง ให้กับ บริษัท แบ็งค๊อกแอนด์ บราวน์ โทลโรดส์ โฮลดิ้ง ประเทศไทย ร้อยละ 12.28 ในราคาหุ้นละ 10 บาท 

ต่อมา บริษัทอ้างเรื่อง การทำผิดสัญญาในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร (ที่ปรับลดราคาลง) ทำให้วันที่ 12 กันยายน 2550 พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ เลือกต่ออายุสัมปทานไปอีก 13 ปี จากที่จะสิ้นสุดในปี 2564 กลายเป็นสิ้นสุดในปี 2577 รวมอายุสัมปทานยาวถึงนานถึง 45 ปี นอกจากนี้ ยังปรับราคากลับไปเป็นแบบเดิม คือ ดินแดง-ดอนเมืองคิด 20-80 บาท และ ดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน คิด 15-45 บาท โดยคราวนี้แก้ เป็นการปรับราคาไม่ต้องผ่านมติครม. อีกต่อไป 

หากยึดเอาสัญญาปัจจุบัน

เมื่อถึงวันที่ 22 ธ.ค.2572 จนสิ้นสุดอายุสัมปทาน จะปรับราคาขึ้นดังนี้

ช่วงดินแดง-ดอนเมือง รถ 4 ล้อ 100 บาท
ช่วงดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน รถ 4 ล้อ เป็น 45 บาท 

รวมระยะเวลาสัมปทาน ยาวนานถึง 45 ปี คือ ปี 2532-2577


การเมืองไทย101 : 2500 กับวาทะกรรม เลือกตั้งสกปรกที่สุด

2500 เลือกตั้งครั้งแรก

เริ่มต้น การเลือกตั้ง วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปี 2500  ครั้งนั้น จอมพล ป พิบูลสงคราม ในตอนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี ได้จัดเลือกตั้ง โดยอ้างเรื่อง 25  พุทธศตรวรรษ  อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งครั้งนี้ได้ชื่อว่า เป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุด

โดยผู้กล่าวหาครั้งนั้นว่า เลือกตั้งสกปรกที่สุด คือ พรรคประชาธิปัตย์ ที่จัดตั้งโดย ควง อภัยวงศ์ ซึ่งเป็นลุกชายของ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์)  ที่เป็นผู้สำเร็จราชการ จังหวัดพระตะบอง หรือผู้ดูแลเขมรในยุคนั้นนั่นเอง และ มรว. เสนีย์ ปราโมช ที่ได้ตั้งพรรคในวันจักรี คือ  6 เมษายน อีกด้วย เรียกว่าเป็นพรรคนิยมเจ้า หรืออนุรักษ์นิยมอย่างแท้จริง แต่ตั้งชื่อเป็น พรรคประชาธิปัตย์ 

การเลือกตั้งครั้งนั้น ตามที่ระบุในข่าว มีการใช้เวลานับคะแนนนานถึง 7 วัน 7 คืน มีการสับเปลี่ยนหีบเลือกตั้งอย่างโจ่งครึ่ม  อย่างไรก็ดี พรรคมนังคศิลา ของจอมพล ป พิบูลสงคราม นั้น ชนะการเลือกตั้ง  แต่ชาวบ้าน นิสิตนักศึกษา ต่างออกมาชุมนุมประท้วง

2500 รัฐประหาร  จนนำไปสู่การรัฐประหารในวันที่ 16 กันยายน 2500 โดย สดิษฎ์ ธนะรัชต์ ลูกน้องคนสนิทของ จอมพล ป พิบูลสงคราม โดยให้ พจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว

2500 เลือกตั้ง ต่อมา ปลายปีนั้น ก็มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ธันวาคม 2500 โดยคนที่ดูแล การเลือกตั้งทั้งหมด คือ พลเอกประภาส จารุเสถียร รัฐบาลทหารส่ง พรรคสหภูมิ ลงเลือกตั้ง แข่งกับ พรรคประชาธิปัตย์ โดยการเลือกตั้งครั้งนั้น ได้ จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี

2501 รัฐประหาร แต่แล้ว วันที่  20 ตุลาคม 2501  จอมพลถนอม กิตติขจร ควบคุม สส. ในสภาไว้ไม่ได้ ยื่นใบลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ จอมพลสดิษฐ์ ธนะรัชต์ ต้องรีบกลับจากการรักษาตัวที่ต่างประเทศ  ก็ทำรัฐประหารทันที พร้อมกับอ้างเรื่อง ความมั่นคงจากลัทธิคอมมิวนิสต์ ชาวบ้านต่างรู้กันดีกว่า นี่คือ การซูเอี๋ยกันครั้งใหญ่ ครั้งนั้น คณะรัฐประหารยังฉีกรัฐธรรมนูญปี 2475 ทั้งหมด และยังประกาศยุบพรรคการเมืองทั้งหมดอีกด้วย

2502 ร่างรัฐธรรมนูญ
หลังจากนั้น คณะรัฐประหาร ก็แต่งตั้ง  สภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี นายทวี บุญยเกตุ เป็นประธาน ขึ้นมา จนในปี 2502   สภาร่างก็สามารถออก รัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2502 ออกมาได้สำเร็จ 

แม้ว่าจะคลอดรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีการเลือกตั้งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปี 2502 มีเพียงแค่ 20 มาตราเท่านั้น  โดยมี มาตรา 17 ที่ให้อำนาจทุกอย่างกับ นายกรัฐมนตรี ทำให้ นายกรัฐมนตรี คือ จอมพลถนอม กิตติขจร นั้นมีอำนาจทำได้ทุกอย่างไม่ต้องรอมติจากสภา

2511 ประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2511
ณ ปี 2511 ประเทศไทยไม่มีการเลือกตั้งทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี 2500 รวม 12 ปีแล้ว แต่รัฐบาล ถนอม ยังคงอ้างการเขียนรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง โดยรอบนี้ยาวนาน 9 ปีเศษ เสร็จสิ้นในปี 2511 ในที่สุดประเทศไทยก็ถึงเวลาเลือกตั้งทั่วประเทศอีกครั้ง

แต่ครั้งนั้น จอมพลถนอม กิตติขจร ได้จดทะเบียนพรรค สหประชาไทย ขึ้น เพื่อลงสนามเลือกตั้ง ในปี 2512 ที่ว่างเว้นการเลือกตั้งยาวนานถึง 12 ปีเต็ม โดยเลือกตั้งในปี 2512  แน่อนนว่า พรรคสหประชาไทย ชนะเลือกตั้ง แน่นอนว่า พรรคอันดับ 2 อย่างประชาธิปัตย์ ก็ต้องไปเป็นฝ่ายค้าน

2514 รัฐประหารตัวเอง   
รัฐบาลอยู่มาได้ 2 ปี  หลังจากนั้น  จอมพลถนอม กิตติขจร ไม่สามารถควบคุม สส. ในสภาได้ ก็ประกาศ ยึดอำนาจตัวเอง โดยตัวเองตอนนั้น ยังนั่งตำแแหน่ง นายกรัฐมนตรี และประกาศว่า ตัวเองคือ หัวหน้าคณะปฎิวัติ  โดยกเลิก รัฐสภา และยกเลิก พรรคการเมืองอีกครั้ง

2515 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 
คราวนี้ มีการอ้างมาตรา 17 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี สามารถทำได้ทุกอย่าง กลับไปใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญเช่นเดิม  ประเด็นตอนนั้น คือ ประชาชนอยู่กับ มาตรา 17 มาตั้งแต่ปี 2502-2511 จนได้ยกเลิกมาตรา 17 มารอบหนึ่งแล้ว คราวนี้จะเอากลับมาใส่ใหม่อีกครั้ง  อีกประเด็นคือ  ขณะนั้น ทหารปกครองประเทศนี้มา-ยาวนาน 15 ปีแล้ว คือตั้งแต่ปี 2500 -2515 ประชาชนและนักศึกษาจึงรวมตัวกันประท้วง ขอร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง

2516  ทหารยิงประชาชน ทหารล้อมปราบนักศึกษา เหตุการณ์ครั้งนั้นจบด้วย  จอมพลถนอม กิตติขจร ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

2517 รัฐธรรมนูญใหม่  มรว คึกฤกษ์ ปราโมช เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง และ ได้ประกาศใช้ในปี 2517 จนประชาชน ได้เลือกตั้งใหม่ในปี 2518 การเลือกตั้งคร้้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายชนะ และได้นายกรัฐมนตรีคือ มรว เสนีย์ ปราโมช 

2519  รัฐประหาร เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519  เมื่อ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้เดินทางกลับประเทศไทย ทำให้ประชาชน นิสิตนักศึกษาต่างไม่พอใจ แต่ พลตำรวจโท ชุมพล โลหะชาละ ได้อนุญาติให้ยิงปืนได้โดยเสรี  ทำให้เกิดความวุ่นวาย

โดยดึกวันนั้น คณะปฎิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่นำโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ก็ได้ก่อรัฐประหาร คืนนั้นได้เข้าคุมตัว มรว เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นไว้ข้ามคืน จึงปล่อยตัวในวันรุ่งขึ้น  โดยครั้งแรก โดยให้ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี และมีการตั้ง สภาปฎิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่ทำหน้าที่เหมือน สส. จำนวน 340 คนขึ้น

2520  รัฐประหาร ซ้ำ
20 ตุลาคม 2520 ก็รัฐประหารซ้ำโดยคนเดิมเจ้าเก่า  พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ และเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีจาก พลเอก ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็น พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ อดีตผู้บังคับบัญชาสูงสุด 

ประเด็นสำคัญคือ มีการตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อให้มีการเลือกตั้ง ในปี 2522 

2521 รัฐธรรมนูญใหม่
มีการระบุในมาตรา 84 ให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง  สว.
มาตรา 106 ถือว่า สว. คือตัวแทนของประชาชนชาวไทย
มาตรา 113 (ระบุในส่วนของทั้ง สส และ สว) ให้ลงมติเกินกึ่งหนึ่ง 
นั่นคือ สว.,มีสิทธิโหวตเลือก นายกรัฐมนตรี

2522 เลือกตั้ง โดยมีกติกาคือ ในวันที่มีการเลือกตั้ง สส จะมีการแต่งตั้ง สว  และ สว. ในที่สุด เราก็ได้ อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นนายกรัฐมนตรี ชื่อ เปรม ติณสูรนนท์















วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2565

Data Analytic : จับผิดบัญชี สำหรับ การพนัน

 แรกคือ ตีความ ออกมา

บัญชีรับเงิน  บัญชีพักเงิน(เห็นไม่ชัด เดายากมาก) และ บัญชีจ่าย

บัญชีรับเงิน >> แยกจาก บัญชีร้านค้า  (ออกมาเป็นฟีเจอร์)
แกะออกมาได้เป็น

เวลาในการทำธุรกรรม  (ส่วนใหญ่เกิดขึ้นช่วงหัวค่ำ)                    ตั้งไว้ว่า กี่ครั้งต่อเดือน
บัญชียอดโอนเข้าซ้ำๆ  รวมไปถึง โอนออกซ้ำๆ                          ตั้งไว้ว่า ธุรกรรมขาเข้าสูง 
ร้านค้าจะโอนออกรอบน้อย ขณะที่ ร้านพนันจะจ่ายยิบย่อย)       โอนเงินช่วงไหน
ยอดคงเหลือ (ร้านค้ามักไม่ค่อยโยกย้าย  แต่ร้านพนันมักจะโยกย้าย)   
                                                                                        จำนวนบัญชีที่โอนเข้า  (โอนเข้ามากกว่าหนึ่งครั้ง)

ตอนนี้ จะมีประเด็นคือ ปลาติดแห กับ ปลาทีหลุดออกจากแห  ดังนั้นต้องทำวนๆ ไป เพื่อหาค่า Setting ให้ได้ค่าที่ดีที่สุด  และเอามา Validate จากคนจริงๆ ที่ตัดสินใจ (ตอนแรกไม่มี Label )

ตอนนี้เราจะมี Label แล้ว

การพนันบอล
การพนันจับบอลเราก็จะเริ่มต้นด้วย วันที่เตะบอล ลตารางแข่งขัน) เราก็จะรู้ว่า คนส่วนใหญ่จะเริ่มพนัน 15.00- ก่อนแข่ง 

เมื่อได้บัญชีมา เราก็เข้าตรวจกับ Feature ก่อนหน้านี้อีกรอบ

หวยใต้ดิน 
เรายึดเอา วันที่หวยออก  (โดยเฉพาะ วันที่เลื่อนหวยออก แล้ววันที่ธุรกรรมสูงๆ ดันเลื่อนตาม จะเห็นชัดอีก)